เก็บของดีไว้กันลืม

my work and play

28 December 2005

Type Two

Type Two
ลักษณะทั่วไป

แรงจูงใจ

ต้องการเป็นที่รัก แสดงความรู้สึกที่ตนมีต่อคนอื่น เป็นที่ต้องการ เป็นที่ชื่นชม ให้คนอื่นตอบสนองตน พิสูจน์ความสำคัญของตน

ความรักมีหลายแง่มุม มันจึงเป็นการยากที่จะหาคำจำกัดความ มันเป็นคำที่รวมเอาสิ่งดี ๆทั้งหลายเอาไว้ และก็มีสิ่งที่เลวอยู่ในนั้นด้วย สำหรับ "ไทป์สอง" แล้ว ความรักคือความรู้สึกที่ดี ๆที่มีให้คนอื่น การเอาใจใส่ และการอุทิศตัวเพื่อคนอื่น หรืออาจหมายถึงความผูกพันใกล้ชิด การเข้าถึงคนอื่น แน่นอนสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของนิยามรัก แต่ "ไทป์สอง" มักไม่ยอมเข้าใจด้วยว่า ความรักที่สูงส่งขึ้นไป จะมีความใกล้เคียงกับ โลกแห่งความเป็นจริง มากกว่าเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก รักแท้คือการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคน ๆนั้น แม้ว่าจะต้องแลกด้วยความบาดหมางกัน ความรักคือความปรารถนาที่จะเห็นคนที่ตนรักยืนด้วยลำแข้งของตนเองอย่างเข้มแข็ง แม้จะหมายถึงการที่ "ไทป์สอง" จะต้องเดินออกไปจากชีวิตของคนที่ตนรักด้วยก็ตาม ความรักไม่ใช้การเอาสิ่งที่คนอื่นไม่สมควรให้ ความรักอยู่เหนือ การเมินเฉย ความเห็นแก่ตัว และการทำผิด ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายกระทำ และความรักเป็นสิ่งที่ขอคืนไม่ได้ ถ้าได้สิ่งนั้นไม่ใช่ความรัก

ถ้าจะเข้าใจ "ไทป์สอง" ต้องเข้าใจว่า แม้ว่าภายนอก "ไทป์สอง" จะดูเป็นฝ่ายเสนอความรัก แต่ลึก ๆแล้วพวกเขาขาดแคลนมัน "ไทป์สอง" เชื่อว่าถ้าตนรักใครมาก ๆ คน ๆนั้นก็จะรักตนตอบเอง พวกเขาจึงหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนอื่นตลอดเวลา และมักได้ความผิดหวังเป็นสิ่งตอบแทน สักวันหนึ่งหาเขาเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง แม้ว่าจะไม่ได้รักตอบจากคนอื่น ความรักอันนั้นจะทำให้พวกเขารู้สึกเป็นฝ่ายถูกรักได้เอง

"ไทป์สอง" เชื่อว่าความรักเป็นต้นกำเนิดของคุณธรรมที่ดีทุกอย่างในชีวิต อาจจะจริงอยู่ แต่เราจะพบนิยามรักในคนกลุ่มนี้ที่แตกต่างกันไปหลาย ๆรูปแบบ มีทั้งรักที่ประเสริฐและที่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด

ตัวอย่างบุคคล Mother Teresa, Archbishop Desmond Tutu, Eleanor Roosevelt, Barbara Bush, Robert Fulghum, Leo Buscaglia, Luciano Pavarotti, Barry Manilow, Richard Simmons, Sammy Davis, Jr., Pat Boone, Doug Henning, Ann Landers, Florence Nightingale, "Melanie Hamiton Wilkes" in Gone with the Wind, "Tin Woodsman" in The Wizard of Oz และ แม่ในอุคมคติของชาวยิว

กับความรู้สึก

แม้ว่า "ไทป์สอง" จะเต็มไปด้วยความรู้สึกต่อคนอื่น แต่พวกเขาก็มีปัญหากับความรู้สึกส่วนตัว พวกเขาชอบแสดงออกถึงความรู้สึกดี ๆที่มีต่อคนอื่นมากเกินพอดี และเพิกเฉยความรู้สึกในแง่ลบในเวลาเดียวกัน พวกเขามองว่าตัวเองเป็นคนที่รักคนอื่น ห่วงคนอื่น แต่บ่อยครั้ง พวกเขารักเพียงเพื่อต้องการให้คนอื่นรักตอบ ความรักของเขาไม่ได้ให้เปล่า แต่มีใบวางบิลติดมาด้วย พวกเขาฝากตัวตนไว้กับการเป็นคนที่มีความรู้สึกที่ดีกับคนอื่นแต่เพียงด้านเดียว จึงเป็นอุปสรรคให้ "ไทป์สอง" ไม่รู้จักการรักคนอื่นอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ในระดับดี "ไทป์สอง" เป็นไทป์ที่เอาใจใส่คนอื่น และรักคนอื่นอย่างแท้จริงมากที่สุด พวกเขาให้ในสิ่งที่คนอื่นต้องการอย่างแท้จริง ในขณะที่ในระดับเสื่อม พวกเขาปฏิเสธความรู้สึกในด้านลบในใจ ความต้องการทางอารมณ์ และความก้าวร้าว จึงไม่รู้ตัวว่ากำลังครอบงำคนอื่น และหลอกใช้คนอื่นอยู่ ยากที่จะรับมือ "ไทป์สอง" ในระดับนี้ เพราะพวกเขาเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ แต่มือถือสาก ปากถือศีล ทำสิ่งที่ชั่วร้ายได้โดยไม่รู้ตัว และคิดว่าตนทำดีที่สุดแล้ว

ปัญหาหลักของ "ไทป์สอง" คือการมองไม่เห็นตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็น superego ของพวกเขากำหนดว่า หากพวกเขาแสวงหาความต้องการส่วนตัวอย่างตรง ๆ พวกเขากำลังเห็นแก่ตัว และต้องได้รับโทษ ดังนั้น "ไทป์สอง" จึงหลอกตัวเองว่าไม่ต้องการอะไร และสิ่งที่ตนทำก็เพื่อคนอื่นทั้งนั้น พวกเขาเห็นตัวเองในภาพของนักบุญเท่านั้น พวกเขาหลอกตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบในระดับเสื่อม จนทุกคนต้องแปลกใจในตัวพวกเขา พวกเขามีวิธีการที่จะสนองความต้องการของตนเองในทางอ้อม ไม่ยอมตำหนิตัวเอง และไม่ให้ใครทำด้วย พวกเขาบังคับในทุกคนเห็นดีกับการกระทำของเขาทั้งที่มันเลวบริสุทธิ์

ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นศัตรู และการสร้างตัวตน

ไทป์ในกลุ่มความรู้สึกล้วนมีปัญหาเกี่ยวกับความเป็นศัตรู แต่ "ไทป์สอง" จัดการกับมันโดยการปฏิเสธว่าตนเองบาดหมางกับคนอื่น และกดเก็บความก้าวร้าวเพราะ Superego ของพวกเขาห้ามเอาไว้ ถ้าจะแสดงความก้าวร้าวออกมาก็ต้องหาคำอธิบายให้ได้ว่าทำไปเพื่อคนอื่นไม่ใช่ตนเอง พฤติกรรมก้าวร้าวขัดแย้งกับตัวตนที่เป็นพ่อพระของพวกเขา และทำให้พวกเขากลัวการถูกคนอื่นตีจาก พวกเขาปฏิเสธตัวเองว่ามีแรงขับของความเห็นแก่ตัว และมองกระทำของตัวเองเป็นแง่บวกเสมอ พวกเขาเริ่มชำนาญกับการหลอกตัวเองจนทำได้โดยสมบูรณ์แบบ ในระดับเสื่อม พวกเขาสามารถทำเลวอย่างร้ายกาจที่สุดได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดเลย

ต้นเหตุของพฤติกรรมของ "ไทป์สอง" คือความต้องการที่จะเป็นที่รัก ซึ่งมันแปรเปลี่ยนไปเป็นความต้องการที่จะควบคุมคนอื่น พวกเขาค่อย ๆพยายามทำให้คนอื่นจำเป็นต้องพึ่งพวกเขา พวกเขาฉุนเฉียวมากขึ้น และบังคับให้ทุกคนเห็นความดีของเขา แน่นอนสิ่งเหล่านี้ทำให้คนอื่นบาดหมางกับพวกเขาแน่ ๆ และเมื่อเกิดขึ้น พวกเขาจะหลอกตัวเองให้รู้สึกว่า กำลังถูกกระทำ แทนที่จะเป็นฝ่ายกระทำ พวกเขามองว่าตนเองทำทุกอย่างเพื่อคนอื่นแต่กลับถูกแว้งกัด ความก้าวร้าวของพวกเขาในที่สุดก็จะถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของความเจ็บป่วยทางร่างกาย ซึ่งบังคับให้ทุกคนต้องหันมาเอาใจใส่ตน

"ไทป์สอง" ยึดติดกับความคิดที่ว่า คนเราจะได้รับความรักก็ต่อเมื่อ รักและทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น พวกเขากลัวคนอื่นจะไม่รักถ้าไม่พยายามทำให้คนอื่นรักตน พวกเขาไขว่คว้าหาความรัก ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดความก้าวร้าวแบบเก็บกดขึ้น ถ้าคนอื่นไม่ตอบสนองพวกเขาอย่างที่พวกเขาต้องการ พวกเขาจะฉุนเฉียวมากขึ้น แต่ความที่ไม่อาจยอมรับว่าตนเองมีความก้าวร้าวอยู่ พวกเขาจึงแสดงมันออกมาทางอ้อม ด้วยการบังคับคนอื่น คนรอบข้างจะรู้สึกประหลาดใจมากที่ "ไทป์สอง" อำมหิตกับคนอื่น แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าตนเองทำความดี

เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับดี "ไทป์สอง" สนใจแต่ตัวเอง แต่ไม่รู้ตัว พวกเขาไม่ได้สนใจสวัสดิภาพของคนอื่นเลย ความรู้สึกดีกับตัวเอง ซึ่งได้มาด้วยการเห็นการตอบสนองที่ดีจากคนอื่น เท่านั้นที่พวกเขาสนใจ พวกเขาเอาตัวตนไปผูกติดกับ การรักตอบจากคนอื่น พวกเขาจึงไม่เคยเห็นความดี และความรักที่แท้จริงในตัวเอง และยิ่งตกสู่ระดับเสื่อม พวกเขาจะเริ่มไม่ได้รับการตอบสนองในทางบวกจากคนอื่น พวกเขาจะควานหาแต่ อะไรสักอย่างที่พวกเขาถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงการรักตอบจากคนอื่น และไม่สนใจสัญญาณอื่น ๆ พวกเขาจะนิยามคนดีในความรู้สึกของตน และทำทุกอย่างเพื่อที่จะบรรลุนิยามนั้น และได้รับสัญญาณของการรักตอบนั้นให้ได้

พวกเขามองไม่เห็นตัวตนที่แท้ของตัวเอง ยังไงก็ยังมองตัวเองว่าประเสริฐอยู่ดี พวกเขาปฏิเสธความต้องการส่วนตัว และเชื่อแต่ภาพลักษณ์ของพ่อพระที่ตัวเองอุปโหลกขึ้นมาก พวกเขาเป็นที่รำคาญของคนอื่น เพราะความที่เอาตัวตนไปผูกติดกับ การตอบสนองในทางบวกที่คนอื่นให้กลับมา พวกเขาต้องรู้ตัวให้ได้ว่ากำลังหลอกตัวเอง แต่หันมาหาคนที่ต้องการความรักจากพวกเขาอย่างมากที่สุด นั้นก็คือตัวเขาเอง

กับพ่อแม่

ในวัยเด็ก "ไทป์สอง" สองจิตสองใจกับ ผู้ปกป้อง ซึ่งก็คือ พ่อ หรือใครก็ตามที่ให้ต้นแบบ และสร้างวินัยให้กับ "ไทป์สอง" พวกเขาไม่ผูกพันกับ ผู้ปกป้อง แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้ตัดขาดกันทางจิตใจ ผลก็คือ "ไทป์สอง" จะคิดว่าตนเองสามารถมีที่ยืนอยู่ในบ้านได้ หากหน้าที่ในสิ่งที่ผู้ปกป้องขาดหายไป ซึ่งสิ่งที่ผู้ปกป้องไม่มีก็คือ ความเป็นผู้เลี้ยงดู หรือแม่นั่นเอง พวกเขาเริ่มทำตัวเป็นแม่ตัวน้อย ๆในบ้าน เพื่อให้คนในบ้านรักตอบ และกลายเป็นสิ่งที่ "ไทป์สอง" ปฏิบัติต่อกับคนที่พวกเขาต้องการความรัก เมื่อโตขึ้น

ความนับถือตัวเองของ "ไทป์สอง" เป็นความนับถือตัวเองแบบมีเงื่อนไข ความรักตัวเองแบบมีเงื่อนไขเป็นสาเหตุของความทุกข์ใน "ไทป์สอง" พวกเขาตั้งเงื่อนไขว่าจะรักตนเองก็ต่อเมื่อ ตนเองเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว และบริสุทธิ์ ยิ่งวัยเด็กของ "ไทป์สอง" ยิ่งเลวร้ายเท่าไร พวกเขายิ่งอุทิศตัว และกดเก็บความต้องการส่วนตัวมากเท่านั้น

และยิ่งเห็นแก่ตัวเท่าไร "ไทป์สอง" ก็ยิ่งต้องหาทางออกให้ตัวเองทางอ้อม superego ของเขาเข้มงวด และตรวจตราว่า "ไทป์สอง" ทำอะไรเห็นแก่ตัวหรือไม่ อีกทั้งยังคอยตรวจสอบการตอบสนองจากคนรอบข้างอีกด้วย "นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่ วนิดาพูดเกี่ยวกับตัวเธอ แต่ถ้าเธอเป็นคนที่น่ารักจริง วนิดาจะต้องกอดเธอเลย" ในระดับเสื่อม พวกเขาไม่มีทางทำให้ superego ของพวกเขาพอใจได้ พวกเขาไม่สามารถหาคนมาแสดงความรักตอบได้มากพอ และไม่สามารถเสียสละได้มากพอ พวกเขาจึงต้องหาทางออกด้วยการหลอกตัวเองว่า เป็นคนดี ไม่เห็นแก่ตัว และไม่มีกิเลส

ปัญหาเกิดเมื่อ "ไทป์สอง" คิดว่าตัวเองดีตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่ตนทำเลว แต่เมื่อ "ไทป์สอง" เข้าสู่ระดับดี พวกเขาเริ่มหันเหความสนใจมาที่การรู้จักรักตัวเอง และแยกแยะได้ว่ามันแตกต่างจากการเป็นคนเห็นแก่ตัว และรู้ด้วยว่ามันเป็นพื้นฐานที่จำเป็นหากต้องการจะเป็นที่พึ่งของคนอื่น พวกเขารู้จักรักตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข และไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีสำหรับคนอื่นตลอดเวลา พวกเขาจะเริ่มรู้จักการเอาใจใส่คนอื่นในทางที่ถูก

ระดับจิตใจ

ระดับหนึ่ง "ผู้ปรารถนาดี"

"ไทป์สอง" ในระดับนี้รักคนอื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ต้องการให้รักตอบ อย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขามีอิสระภาพที่จะรัก และไม่รัก และในเวลาเดียวกันคนอื่นจะรักหรือไม่รักเขาตอบได้อย่างมีอิสระเสรีด้วย คนที่พวกเขารักจะเดิบโตไปตามทางของคน ๆนั้น แม้ว่าจะต้องหมายถึงการแยกจากกันไปก็ได้ การได้รักคนอื่นก็เป็นสิ่งที่พิเศษที่คนอื่นมีให้พวกเขาแล้ว และมักไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะเรียกร้องกลับ

ที่ "ไทป์สอง" รู้สึกได้อย่างนี้ เพราะพวกเขาได้เรียนรู้ที่จะให้ความสนใจในความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง และรู้จักดูแลตัวเอง พวกเขาให้ตัวเองโดยไม่คิดว่าเป็นการเห็นแก่ตัว จึงไม่จำเป็นต้องไปหาความรักจากคนอื่น พวกเขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จึงเข้าใจความต้องการของคนอื่นด้วย และในบางทีก็คิดได้ว่า การช่วยเหลือที่ดีที่สุด อาจเป็นการไม่ทำอะไรเลย การให้นั้นเป็นทางเลือก ไม่ใช่เรื่องบังคับ

ในระดับนี้ "ไทป์สอง" รักผู้อื่นอย่างประเสริฐที่สุด เท่าที่มนุษย์จะมีได้ พวกเขามีความปรารถนาดีอยู่เต็มเปี่ยม และดีใจเมื่อคนอื่นได้ดี พวกเขาถือว่าคนเราควรทำความดี ไม่ว่าจะได้รับผลตอบแทนหรือไม่ พวกเขาไม่โกรธถ้าใครจะเอาความดีของพวกเขาไปเอาหน้า แค่ได้ทำสิ่งดีให้กับคนอื่นก็สมบูรณ์แล้ว พวกเขาปรารถนาดีต่อคนอื่นโดยไม่มีแรงดึงดูดอื่นแอบแฝง การไม่หวังผลตอบแทนทำให้พวกเขามองออกถึงความต้องการที่แท้จริงของคนอื่น ไม่มีอัตตาหรือความต้องการส่วนตัวมาบังตา พวกเขาจึงมีความสัมพันธ์กับบุคคลอย่างตรงไปตรงมา

ยิ่งให้ พวกเขาก็ยิ่งสนุกกับการให้ ยิ่งได้รับอำนาจจากคนอื่น พวกเขาก็ยิ่งไม่ต้องการมัน ยิ่งไม่ต้องการความรักตอบ พวกเขาก็ยิ่งได้ สิ่งที่พวกเขาได้รับจากการทำความดี คือความสุขใจอยู่แล้ว พวกเขาเบิกบานเพราะได้ทำดี พวกเขาเปล่งรัศมีของความดีออกมายังคนข้าง ๆ

มีคนน้อยนักที่ก้าวเข้ามาอยู่ในระดับนี้ได้ และเมื่อมาถึง พวกเขาก็ไม่โอ้อวด และรู้สึกถ่อมตัวเกินกว่าที่จะให้ใครยกย่อง พวกเขาจะรู้สึกแปลก ๆที่ใครจะมายกย่องพวกเขาให้เป็นนักบุญ เพราะไม่ได้คิดว่าตนเองดีเด่นอะไร พวกเขาเรียนรู้ความรักที่แท้จริง และก้าวข้ามอัตตาเพื่อให้โอกาสตัวเองและคนอื่น

ระดับสอง "ผู้เอาใจใส่"

แม้จะไม่ได้รักอย่างบริสุทธิ์ "ไทป์สอง" ในระดับนี้ก็เป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้าง เป็นไทป์ที่เห็นอกเห็นใจคนมากที่สุด พวกเขารู้สึกถึงความทุกข์ของคนอื่นราวกับว่าประสบกับตัวเอง เข้าใจสภาพที่คนอื่นเป็นอยู่ เมื่อได้ทราบข่าวโศกนาฏกรรมทางโทรทัศน์ พวกเขาก็ส่งใจไปหาผู้ประสบภัย ปัญหาเรื่องงานและเรื่องชีวิตรักของเพื่อนสะกิดใจพวกเขามาก แค่นี้ก็เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับคนที่เดือดร้อนแล้ว

อย่างไรก็ตามพวกเขาเริ่มเบนความสนใจจากความรู้สึกที่แท้จริงของตน ไปยังคนอื่น เริ่มเห็นตัวเองเป็นผู้ที่มีแต่ความรู้สึกในด้านดีต่อคนอื่น แทนที่จะปล่อยความรู้สึกของตนให้มีอิสระ แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนดีจริงอยู่ เพราะเป็นห่วงคนอื่นอย่างจริงใจ พวกเขามีอารมณ์ร่วมกับคนอื่นอย่างมาก ใช้ใจมากกว่าใช้สมอง พวกเขาไม่สนใจว่าอะไรถูกผิดเท่ากับการที่เป็นห่วง และไม่ตัดสินคน พวกเขามองว่าตนเป็นคนดี และก็ใช่จริง ๆ พวกเขาสัมผัสได้ถึงความเป็นคนอบอุ่นของตัวเอง พวกเขามั่นใจในตัวเอง เพราะความดีที่พวกเขาได้ทำ พวกเขาใจกว้างเสมอ แม้ว่าจะจน ใจบุญ และตีความอะไรเป็นแง่ดีไปหมด เห็นคนอื่นแต่ส่วนดี พวกเขารักได้แม้แต่คนบาป แต่ไม่ได้รักบาป

ระดับสาม "ผู้ช่วยเหลือ"

"ไทป์สอง" ต้องการบอกให้คนอื่นรู้ว่าตนรู้สึกอย่างไร ซึ่งความต้องการนี้ให้ผลออกมาในรูปการกระทำ พวกเขาหาความสุขจากการได้ช่วยคนอื่นอย่างเป็นรูปธรรม ปรนนิบัติคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ให้หาอาหาร เครื่องนุ่งหุ่ม เยี่ยมคนป่วย อาสาบริการสังคม และใช้ทำอย่างที่ตนมีในการบำเพ็ญประโยชน์

พวกเขาออกหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ยอมช่วยคนอื่นทั้งที่ตนต้องลำบาก ช่างคิดช่างเอาใจ เป็นที่พึ่งของคนอื่นในยามวิกฤต เป็นคนที่คุณสามารถโทรไปหาตอนเที่ยงคืนได้ ถ้าต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาเอื้อเฟื้อทั้งเวลา ความเอาใจใส่ เงินทอง ฯลฯ ผู้คนเข้าหาเขาเพราะพวกเขามีทั้งความห่วงใย และการสงเคราะห์ที่เป็นรูปธรรม พวกเขาให้ทุกอย่างที่มี รวมทั้งการใช้ความสามารถที่มีอยู่ และมีความสุขกับการได้ให้ และได้เห็นคนเหล่านั้นเติบโต

พวกเขาทำแบบนี้ได้ ด้วยรู้จักขีดจำกัดของตัวเอง และไม่ทำอะไรเกินกำลัง พวกเขาใส่ใจทั้งคนอื่น และตัวเอง ถ้าบอกให้คนอื่นพักผ่อนให้มาก พวกเขาก็ต้องแน่ใจด้วยว่าตัวเองก็พักผ่อน พวกเขาจึงยังคงสนุกกับชีวิต เป็นเพื่อนที่เฮฮา เพราะเป็นผู้ฟัง สนใจคนอื่น และมีอารมณ์สนุกสนานอย่างแท้จริง พวกเขารู้สึกสบาย ๆกับ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้ ความรักที่พวกเขามีให้เป็นสิ่งที่พิเศษ กล่าวคือ พวกเขาทำให้คนอื่นได้รู้สึกว่ามีใครสักคนคอยเป็นห่วง พวกเขาเห็นความดีของคนอื่น และชมด้วยความจริงใจ ยกใจคน และสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้คนอื่น พวกเขามีอิทธิพลต่อชีวิตของคนอื่น เพราะพวกเขาทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกว่ามีใครสักคนคอยเป็นห่วง และเป็นผลทำให้คนเหล่านั้นเติบโตและสร้างสรรสิ่งที่ดีงามอีกที

"ไทป์สอง" เป็นพ่อแม่ตัวอย่าง พวกเขาให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก คอยดูแลสวัสดิภาพ ให้กำลังใจ ให้โอกาสที่จะเติบโต เรียนรู้ และค้นพบจุดแข็งของตัวเอง พวกเขาใฝ่ฝันที่จะเป็นอย่างนักบุญ และก็ทำได้ดี

ระดับสี่ "เพื่อนเผยความรู้สึก"

"ไทป์สอง" ในระดับนี้เริ่มไม่ดีจริง พวกเขาพูดถึงความรู้สึกและความปรารถนาดีของตนมากเกินไป และแทนที่จะสนใจในสวัสดิภาพของคนอื่นจริง ๆ พวกเขากลับสนใจว่าคนอื่นจะคิดถึงเขาในทางที่ดีหรือไม่ และต้องการจะแน่ใจว่าคนอื่นรักเขา พวกเขาเริ่มกลัวว่าสิ่งตนทำยังไม่ดีพอที่จะซึ้อคนได้ และเริ่มจะมองว่าความรักคือความใกล้ชิดสนิทสนม และมองข้ามส่วนอื่น ๆของความรักไปสิ้น "ไทป์สอง" ต้องการให้ทุกคนตระหนักถึงความดีของตน และรับรู้ว่าตนแคร์แค่ไหน และพูดถึงบ่อย ๆ ว่าความผูกพันที่มีอยู่ลึกซึ้งแค่ไหน พวกเขาดิ้นรนที่จะเข้าใกล้คนอื่น และพยายามคิดว่าคนอื่นต้องการพวกเขา

ในระดับนี้ พวกเขายังใจกว้างอยู่ แต่สนใจการมีภาพลักษณ์ของคนใจกว้างมากกว่าที่จะใจกว้างจริงๆ "ไทป์สอง" เป็นมิตรและช่างพูด อยากเสวนากับทุกคนที่ได้พบ พวกเขาดูอารมณ์อ่อนไหว ชอบบอกให้คนอื่นรู้ความรู้สึกของตน มีความสามารถในการพบปะ และมักกล่าวถึงคนที่ได้พบเจอในฐานะเพื่อน มากกว่าแค่คนรู้จัก เวลาอยู่กับใครก็ชอบโอบไหล่ หรือจับแขนอย่างสนิทสนม พวกเขาต้องการที่จะอยู่ใกล้ ๆ อยากหอม อยากสัมผัส และอยากกอด พวกเขาเอาใจคนอื่นเพื่อให้คนอื่นรักตอบ แต่ไม่ยอมรับ พวกเขาพยายามเชื่อว่าตัวเองต้องการแค่จะรัก และแสดงออกให้คนรู้ว่าตนรู้สึกดีกับคนเหล่านั้น คำพูดเหล่านั้นฟังดูเป็นการป้อยอมาก และดูเหมือนต้องการให้คนนั้นสำนึกบุญคุณที่พวกเขากล่าวชมเชยด้วย

"ไทป์สอง" มั่นใจว่าตนมีอะไรดีที่จะให้คนอื่น นั้นก็คือความรักและเอาใจใส่จากพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าตัวเองเป็นคนคิดดีกับคนอื่น และสิ่งที่ตนทำล้วนแล้วแต่เป็นความดี อัตตาของพวกเขากำลังได้ใจ แต่พวกเขาไม่ยอมรับ

ศาสนามักมีความสำคัญต่อชีวิตของ "ไทป์สอง" พวกเขาอาจทำดีเพราะเคร่งศาสนา ศาสนาเป็นสิ่งที่ไปกันได้กับภาพลักษณ์ที่พวกเขาพยายามสร้างอยู่แล้ว และมันยังให้ความหมายของคำที่พวกเขาชอบพูดถึง ไม่ว่าจะเป็น ความรัก มิตรภาพ การเสียสละ ความดี ฯลฯ พวกเขาพยายามติตด่อกับพระเจ้า หรืออยากมีพลังจิต เพราะคุณสมบัติเหล่านี้ช่วยเสริมให้ "ไทป์สอง" ดึงดูดคนได้มากขึ้น และทำให้พวกเขาอยู่ข้างเดียวกับเทพ ยากที่จะถูกกล่าวถึงในทางลบ พวกเขาจินตนาการเอาว่า ความรักของเขาเอาชนะทุกสิ่งได้ ฆ่าคนอื่นได้ด้วยความเมตตา เอาชนะใจคนอื่นได้ด้วยความดี หรือฝันว่าตัวเองเป็นเทวฑูต เรื่องของศาสนาล้วนแล้วแต่ทำให้ "ไทป์สอง" รู้สึกดีกับตัวเองทั้วสิ้น

พวกเขาเริ่มยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางมากขึ้น พวกเขาพยายามเน้นถึงความประเสริฐของตัว แม้ว่าคำพูดจะพยายามยกความดีให้คนอื่น แต่ลึก ๆแล้วแฝงคำโฆษณาตัวเองไว้ด้วย พวกเขาพยายามใกล้ชิดคนที่พวกเขาต้องการความรักตอบมากขึ้น พยายามคยั้นคยอให้คนเหล่านั้น เผยความคิดลึก ๆ หรือเรื่องที่ส่วนตัวมาก ๆ เพราะพวกเขาอยากเป็นคนพิเศษ สำหรับคน ๆนั้น

หลายคนชอบสิ่งที่ "ไทป์สอง" ทำ โดยเฉพาะพวกที่ไคว่คว้าหาการยอมรับ แต่คำสรรเสริญเยินยอเหล่านั้นของ "ไทป์สอง" ไม่ใช่สิ่งที่ให้ฟรี พวกเขาต้องการอะไรกลับมา

ระดับห้า "พ่อคนสนิท"

"ไทป์สอง" มีพรสวรรค์ในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ และมักสร้างแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนที่ต้องพึ่งพวกเขาได้สำเร็จ พวกเขาอยากเป็นศูนย์กลางของครอบครัว หรือชุมนุมชน เพื่อว่าทุกคนจะได้เห็นเขาเป็นคนสำคัญในชีวิต พวกเขาอุปการะคนอื่น และทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกว่าเป็นหนี้ชีวิตที่ "ไทป์สอง" ยอมรับเขามาในกลุ่ม

ในระดับนี้ พวกเขาเหมือน มารดาในอุดมคติของชาวยิว ผู้ซึ่งทำให้คนอื่นไม่สิ้นสุด พวกเขาค้นหาคนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างไม่เลือกหน้า ซึ่งนั้นเป็นผลเสียกับ "ไทป์สอง" เพราะ ในที่สุด รอบตัวเขาก็จะเต็มไปด้วย คนที่ขาดทางจิตใจ ซึ่งไม่สามารถให้ความรักตอบแทน "ไทป์สอง" ได้อย่างที่ "ไทป์สอง" ต้องการ แต่นั้นคงไม่ได้เป็นปัญหา เท่ากับการที่ "ไทป์สอง" จะมองหาบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะในการพิสูจน์ว่าตนได้รับความรักตอบเท่านั้น ถ้าไม่มีก็แสดงว่าคนอื่นไม่รัก พวกเขาเริ่มกลัวว่าคนที่ตนรักจะรักคนอื่นมากกว่าตน และเริ่มรู้สึกว่าต้องมีคนรักตนอยู่ ตนจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ พวกเขาไม่รู้ตัวว่ารู้สึกแบบนี้ เพราะ superego ของพวกเขาห้ามไว้ และบังคับให้ "ไทป์สอง" เชื่อว่าตนมีความรักที่บริสุทธิ์

รักเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับเขา พวกเขาต้องการที่จะรักทุกคน ความรักกลายเป็นข้ออ้าง เหตุผล แรงจูงใจ และเป้าหมายชีวิต ความรักของเขาเป็นคำตอบสำหรับความปรารถนาทั้งปวงของมนุษยชาติไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมองทุกคนเป็นเด็กอมมือที่มีแต่ความต้องการ และพยายามมอบความรัก ความเอาใจใส่ให้คนอื่น ไม่ว่าคนอื่นจะต้องการหรือไม่ พวกเขายุ่งเรื่องคนอื่น สอนคนอื่นอย่างไม่ได้รับเชิญ เสือกทุกกรณี โดยอ้างการเสียสละตัว พวกเขาต้องการที่จะเป็นที่ต้องการ

พวกเขาทำตัวยุ่ง เพราะก้าวก่ายคนอื่นเสียทุกเรื่อง ทำตัวเป็นพ่อแม่ของเพื่อนๆ และคิดว่าการแก้ปัญหาของคนอื่นเป็นหน้าที่ของตน ไม่ลังเลที่จะเข้าช่วยคนอื่น ช่วยหางาน ช่วยให้คำแนะนำการแต่งบ้าน ผลก็คือ คนอื่นเริ่มรู้สึกรำคาญ และทำตัวออกห่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ "ไทป์สอง" กลัวที่สุด

ในระดับนี้ "ไทป์สอง" ชอบนินทา เพราะเหมือนกับเป็นการบอกเป็นนัยว่า ตนมีเพื่อนมากและสนิททุกคน พวกเขาพูดถึงเพื่อนอย่างสนิทสนม และเปิดเผยเรื่องราวที่น่าอับอาย นอกจากนี้ยังชอบถามคำถามละลาบละล้วง และคนที่ถูกถามมักรู้สึกอับอายที่ถูกถาม ในขณะที่ พวกเขาไม่ยอมพูดถึงตัวเอง เพราะพยายามบอกคนอื่นว่าตนไม่มีปัญหา คนอื่นต่างหากที่มี และเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องช่วย

พวกเขาแทรกตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนอื่นได้รวดเร็ว ยากที่จะหลีกเลี่ยง พวกเขาเอาใจอัตตาของตัวเอง และทำให้คนอื่นต้องแบกภาระด้วยการให้ความรักแก่เขาตอบ การเข้าแทรกแซงของ "ไทป์สอง" มักส่งผลร้ายให้กับคนอื่น แต่พฤติกรรมที่อุทิศตนอย่างไม่คิดชีวิตของ "ไทป์สอง" ทำให้พวกเขาไม่ต้องรับผิดนั้น

การเสียสละเพื่อคนอื่น ทำให้ "ไทป์สอง" คิดว่าตนน่าจะมีสิทธิ์ในคน ๆนั้นด้วย พวกเขาจึงทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ หึงหวง ชอบเช็คโทรศัพท์ พวกเขาเริ่มกลัวว่าจะถูกนอกใจ และหากห่างเหินเกินไป คงถูกทอดทิ้งแน่ ๆ พวกเขาหลีกเลี่ยงที่จะแนะนำเพื่อน ๆของเขาให้รู้จักกันเอง เพราะกลัวถูกทิ้ง พวกเขารู้สึกชอบที่เห็นเพื่อนตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เพราะนั้นทำให้หน้าที่เพื่อนของเขาชัดเจน และมีความสำคัญขึ้นมาอีก พวกเขาไม่มีวันตีจากใคร

พวกเขาแสวงหาสัญญาณที่แสดงถึงความรักตอบที่เพื่อนมีให้ พวกเขากลัวเกินกว่าเหตุ และยากที่จะทำให้เชื่อได้ว่า คนอื่นรักเขาจริง พวกเขามองหาสัญญาณที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงมาก เช่น คาดหวังให้คนอื่นรู้ความต้องการของตน อาทิ ให้โทรกลับ ให้นัดไปทานอาหาร ให้ส่งบัตรเชิญมาให้ หรือให้เขียนขอบคุณ ทุกอย่างต้องเฉพาะเจาะจง การเขียนการ์ดมาใช้ไม่ได้ถ้า "ไทป์สอง" ต้องการการกอด บางทีพวกเขาจะเรียกร้องมันอย่างอ้อม ๆ "ดูเหมือนคุณต้องการการกอดจากใครสักคนนะ" พวกเขาไม่ยอมบอกความต้องการเหล่านั้นอย่างตรง ๆเพราะ superego ของเขาไม่อนุญาต พวกเขาหยิ่งในตัวเอง ไม่ยอมรับว่าตัวเองก็มีความต้องการ หรือมีความเจ็บปวด

พวกเขาจึงพึงใจอย่างยิ่ง ถ้าถูกยกย่องให้เป็นผู้รู้ ผู้ที่คนอื่นมาปรึกษาเรื่องส่วนตัว พวกเขาคาดหวังให้เพื่อนทุกคนบอกเรื่องสำคัญต่าง ๆในชีวิตให้พวกเขาทราบ ต้องการเป็นเหมือนจุดที่ข่าวสังคมทุกข่าวต้องมาผ่าน พวกเขาใจจดจ่อที่จะได้ทราบว่า คนอื่นกำลังกล่าวถึงเขาอย่างชื่นชม ความรักและความเอาใจใส่ของเขาได้ส่งผลที่ดี ฯลฯ พวกเขาจึงพยายามติดต่อเพื่อนเก่า ๆเอาไว้ และใช้เวลากับคนเหล่านั้นให้มากที่สุด พยายามพร่ำบอกว่าพวกเขาคิดถึงคนเหล่านั้นอยู่เสมอ เป็นห่วง สวดมนต์ให้ ฯลฯ แม้ว่าพวกเขาจะยังเป็นคนช่างคิดช่างเอาอกเอาใจ แต่มันผิวเผินขึ้นทุกที พวกเขาคอยจำและโทรไปอวยพรวันเกิด และกลับไม่ยอมติดพันกับความต้องการที่แท้จริงของใครคนใดคนหนึ่ง เพื่อจะได้มีเวลาให้กับคนได้หลายๆ คน

"ไทป์สอง" ต้องการเป็นที่รักของทุกคน พวกเขาจึงแสวงหาความรักจากหลาย ๆแหล่ง พวกเขาจะขยายวงของกลุ่มเพื่อนให้กว้างออกไปเรื่อย ๆ และประดิษฐ์ความต้องการหลาย ๆรูปแบบให้เพื่อน เพื่อตนจะได้สนองความต้องการเหล่านั้นให้ พวกเขาจะไม่มีวันได้ความรักที่ลึกซึ้งตอบ เพราะเมื่อใครคนหนึ่งต้องการความช่วยเหลือ ก็พบว่า "ไทป์สอง" กำลังไปช่วยคนอื่นอยู่ และในเวลาเดียวกัน "ไทป์สอง" เองก็รู้สึกว่ามีภาระของคนอื่นอยู่ท่วมหัว แต่ก็ยากที่จะสลัดทิ้ง เพราะมันเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อตัวตนของพวกเขามาก ผลก็คือพวกเขาจะพร่ำบ่นถึงความเจ็บปวด ความลำบาก และปัญหาต่าง ๆที่เกิดจากการเป็นคนดีของพวกเขา พวกเขาอาจมีอาการป่วยทางกาย อาการจิตสลายอย่างอ่อน ๆ และอาการไฮโปคลอนเดีย (คิดว่าตัวเองเป็นโรคต่าง ๆ) ร่วมด้วย

ถึงขั้นนี้ "ไทป์สอง" ไม่ใช่คนดีเหมือนก่อน พวกเขามีอัตตาสูง ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจปฏิเสธ ("ไทป์สอง" ไม่เคยบอกว่าตัวเองไม่มีอัตตา เพียงแต่บอกว่าตัวเองเป็นที่มีความรักให้คนอื่น และปรารถนาดีเท่านั้น) และพวกเขายังมีแรงขับภายในสัญชาตญาณที่ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ตรง ๆอีก "ไทป์สอง" รับไม่ได้ที่จะเห็นตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัว พวกเขาจึงพยายามเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำไป เป็นไปเพื่อคนอื่นทั้งหมด พวกเขารู้สึกว่าถ้าจะเป็นที่รักของคนอื่น ต้องทำเพื่อคนอื่นทุกอย่าง พวกเขากำลังติดสินบนคนอื่นให้รักตน พวกเขาต้องการการตอบสนองที่จริงใจ แต่กลับไม่ปล่อยให้คนอื่นแสดงออกมาเอง พวกเขาดิ้นรนเพื่อให้คนอื่นแสดงออกอย่างที่พวกเขาคาดหวัง พวกเขาจะเริ่มวิตกกังวลเพราะรู้สึกว่า คนอื่นจะไม่ตอบสนองถ้าเขาไม่กระตุ้น พวกเขากำลังเผชิญปัญหาที่ตัวเองเป็นคนสร้าง

ระดับหก "นักบุญคนสำคัญ"

พวกเขากำลังสงสัยว่า เขาทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น ทำเพียงเพราะสุขใจที่ได้ทำ แม้แต่การเสียสละตัวเองก็ทำไปแล้ว แต่ดูเหมือนคนอื่นจะไม่ค่อยแคร์ ไม่มีใครเห็นความดี ดูเหมือนว่าทุกคนจะเป็นคนขี้ลืม และไม่ค่อยคิดอะไรมาก คนเหล่านี้สมควรได้รับการเตือนให้รู้อยู่เสมอว่า พวกเขาทำดีขนาดไหน

ปัญหาของ "ไทป์สอง" คือ พวกเขาไม่สามารถทำอะไรให้ตัวเองได้ ถ้าไม่มีคนอื่นเข้ามารับประโยชน์ด้วย พวกเขาเริ่มยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ยกย่องตัวเอง บอกว่าตัวเองสำคัญต่อทุกคน ชมตัวเองอย่างไร้ยางอาย ทั้งที่ที่จริงทำเพื่อตัวเอง

บาปของ "ไทป์สอง" ก็คือ ความจองหอง พวกเขาชื่นชมตัวเอง และไม่ปล่อยโอกาสที่จะทวงบุญคุณให้หลุดรอดไป "รู้ไหมว่านายโชคดีขนาดไหนที่มีฉันเป็นเพื่อน" พยายามบอกให้คนหนึ่งให้ความสำคัญกับตน เพราะอึกคนหนึ่งกำลังทำอย่างนั้นอยู่ พวกเขาไม่รู้ตัวว่าตัวเองจองหอง พวกเขาเรียกร้องความสนใจในการกระทำเยี่ยงนักบุญของพวกเขา พวกเขาปรารถนาที่จะส่องแสงเจิดจรัสต่อหน้าทุกคน ความจองหองกำลังปิดหูปิดตาตัวเขาให้มองไม่เห็นจิตที่ทรมานของเขา "ไทป์สอง" เชื่อว่าหาตนคิดไม่ดีสักนิดเดียว ตนจะต้องถูกผู้คนทอดทิ้ง "ไทป์สอง" ไม่ยอมรับว่าตัวเองมีความเจ็บปวด และความพิโรธ แต่ทุกคนกำลังรู้สึกได้ด้วยสิ่งที่ "ไทป์สอง" สื่อออกมาทางอ้อม พวกเขาไม่อาจพูดอะไรอย่างเปิดอกได้ เพราะได้ลงทุนไปกับตัวตนที่จอมปลอมของเขาอย่างกู่ไม่กลับแล้ว

ความหลงตัวเองและความนับถือตัวเองได้สร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้กับพวกเขาจน พวกเขาต้องการให้คนอื่นดีกับเข้าอย่างต่อเนื่องอย่างไม่สิ้นสุด พวกเขาต้องการให้คนอื่นให้เขากลับเพื่อสนองคุณ ไม่ว่าที่จริงแล้วพวกเขาจะมีบุญคุณหรือไม่ พวกเขารู้สึกว่าคนอื่นติดหนึ้เขาอย่างไม่มีวันชดใช้ได้หมด พวกเขาคิดว่าบุญคุณของเขายิ่งใหญ่เกินจริง และคิดถึงสิ่งที่คนอื่นตอบแทนกลับมาอย่างต้อยต่ำเกินไป พวกเขาอ้างบุญคุณกับทุกสิ่งที่ดี ๆในชีวิตของคนอื่นหมด "ไทป์สอง" คิดว่าคนอื่น ๆคงไม่มีวันเป็นผู้เป็นคนแบบนี้ได้ หากไม่มีเขาเมื่อวันก่อน และพวกเขาก็กล้าที่จะทวงบุญคุณอย่างไม่ลังเล

ในระดับนี้ "ไทป์สอง" ดิ้นรนหารัก และเริ่มหาอย่างคนหน้ามืด ความต้องการส่วนตัวของพวกเขารุนแรงร้าวร้อนขึ้น แต่ยังกดเก็บไว้ พวกเขาดิ้นรนหาอะไรสักอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ที่แทนความรักที่คนอื่นตอบกลับมา พวกเขาเรียกร้องความสนใจอย่างไม่เลือกหน้า พวกเขาเข้าร่วมทุกสถานการณ์ที่ตนอาจมีโอกาสได้รับรักตอบ พวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมทุกอัน และอยากรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น บางทีก็มีอาการปลดปล่อยทางเพศ พยายามทำให้ตัวเองเป็นที่ดึงดูด เพราะนั้นหมายถึงการเป็นคนที่มีคนอื่นรัก

พวกเขาไม่รู้ตัวว่าคาดหวังจากคนอื่นมากไป พวกเขาโกรธถ้าใครไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปยุ่มย่ามชีวิตส่วนตัว ยิ่งเสือกเท่าไร คนอื่นก็ยิ่งวิ่งหนี และยิ่งทำให้ "ไทป์สอง" รู้สึกขมขื่นเพราะมันทำร้ายความรู้สึกของการเป็นคนสำคัญของเขาไป พวกเขามักระบายอารมณ์ด้วยการ กินจุ ดื่มเหล้า ใช้ยา แต่ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีคนรัก

ระดับเจ็บ "นักหลอกใช้คน"

พวกเขาต้องใช้วิธีการหลอกใช้คนอื่นเท่านั้นในระดับนี้ เพราะความก้าวร้าวของพวกเขารุนแรงมากขึ้น แต่ไม่สามารถแสดงออกมาตรง ๆได้ พวกเขาจึงต้องหาใครสักคนมามอบความรักที่พวกเขาโหยหาให้ได้ โดยการหลอกใช้ แต่ยิ่งพวกเขาหลอกใช้ พวกเขาก็จะยิ่งไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ

"ไทป์สอง" ทนไม่ได้ที่พบว่าไม่มีใครรัก เพราะความรักเป็นนามธรรมที่มีค่าที่สุดในความคิดของพวกเขา แต่ความรักในระดับเสื่อมนี้ไม่ใช่ความรัก มันคือการเกาะคนอื่น และความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด ในระดับนี้พวกเขาไม่มีสติมากพอที่จะรับรู้ความรัก ไม่ว่าจะเป็นการให้รัก หรือการรับรัก

พวกเขาใช้คำว่ารักเป็นข้ออ้างเพื่อประโยชน์ส่วนตน เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการทางอ้อม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การหลอกใช้ พวกเขาใช้ ความรู้สึกผิด เป็นเครื่องมือที่บังคับให้คนอื่นทำอะไรก็ได้ตามต้องการ หลอกใช้ให้คนตีกันเอง หรือหลอกให้คนอื่นมาทำอะไรให้ตน มันเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับคนอื่นที่รู้ว่า "ไทป์สอง" ทำได้ขนาดนี้ พวกเขาดึงเอาคนทุกระดับไม่ว่าสูงหรือต่ำกว่าตนให้เข้ามาร่วมเกมส์ได้ พวกเขาประนาณคนอื่นให้รู้สึกลังเลสงสัย สับสน และรู้สึกผิด เพื่อล่อให้ทำอะไรที่พวกเขาต้องการได้อย่างไม่น่าเชื่อ

พวกเขาทำร้ายคนอื่น แต่บอกว่ากำลังช่วย มือหนึ่งกำลังแทงจุดอ่อน ในขณะที่อีกมือหนึ่งกำลังทำแผลให้ พวกเขาทำให้คนอื่นรู้สึกต้อยต่ำในขณะที่ใช้คำชมเชยป้อยอไปด้วย พวกเขาเตือนคนอื่นให้รู้ว่ามีปัญหา และไม่มีอนาคต แต่ไม่ต้อง พวกเขาจะอยู่เคียงข้างตลอดไป พวกเขาฉีกแผลเก่าให้กว้างขึ้น และรีบเข้ามาทำแผลให้ พวกเขาทำตัวเป็นทั้งเพื่อนที่ดีที่สุด และศัตรูหมายเลขหนึ่ง

พวกเขายังคงรู้สึกว่าต้องทำอะไรให้คนอื่น แต่พวกเขาก็บ้าเกินกว่าที่จะทำได้แล้ว แต่ก็ยังไม่หยุด ผลก็คือความเจ็บป่วยทางกาย ซึ่งเปิดโอกาสให้ "ไทป์สอง" หยุดช่วยคนโดยที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัว ในระยะยาว ยา และอาหารที่พวกเขาใช้จะทำให้พวกเขาเจ็บป่วยขึ้นมาจริง ๆ และกลายเป็นเครื่องมือในการดึงดูดความสนใจของคนอื่น พวกเขาใช้ความน่าสงสารในการขอความรัก

ยากที่จะช่วย "ไทป์สอง" ในระดับนี้ เพราะพวกเขาปฏิเสธความช่วยเหลือ พวกเขาเอาตัวเองไปผูกไปกับความเป็นผู้ประเสริฐ และยืนยันความบริสุทธิ์ใจในการกระทำทุกอย่างของตน ห้ามใครสงสัยหรือคิดจะเปิดโปงเจตนาที่แอบแฝงอยู่ ไม่ว่าใครจะมีหลักฐานที่ชัดเจนขนาดไหน พวกเขาก็อาศัยความบริสุทธิ์ใจ และพลังแห่งความรักหักล้างหมด พวกเขาใช้เหตุผลทางศาสนาในการอธิบายให้ตัวพ้นจากความผิด พวกเขาถือว่าด้วยความรักแล้ว พวกเขาจะทำอะไรก็ได้ไม่ผิด สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการกดเก็บความโกรธ และการดิ้นรนเพื่อให้อัตตาของตนอยู่รอด พวกเขาทำทุกวิถีทางที่จะรั้งคนอื่น ๆเอาไว้ เพราะถ้าไม่มีใครพึ่งพวกเขาอยู่ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนคนไร้ค่า พวกเขากลัวที่จะต้องโดดเดี่ยว แต่ก็พร่ำด่าคนที่มาขอพึ่งว่าทำให้พวกเขาต้องลำบาก และพวกเขาจะไม่มีวันยอมรับว่าตนมีความเกลียดชัง หรือทำอะไรเพื่อตัวเองเป็นอันขาด

การหลอกตัวเอง เป็นกลไกการป้องกันตัวที่บังตา "ไทป์สอง" ไว้ไม่เห็นว่าพฤติกรรมของตัวแท้จริงแล้ว ห่างไกลจากภาพลักษณ์ที่ตนเข้าใจนัก พวกเขาตีความการกระทำของเขาออกมาในทางดีได้หมด พวกเขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าตัวเองมีแต่ความปรารถนาดี พวกเขาหลอกใช้คนได้อย่างไม่รู้สึกอะไร พวกเขามีเหตุผลให้ตัวเองเสมอ พวกเขาไม่มีวันรู้สึกผิด และคิดว่าคนอื่นต่างหากที่หาความลำบากมาให้ พวกเขาเป็นแค่เหยื่อที่น่าสงสาร พวกเขาเกาะเกี่ยวกับคนอื่นทางจิตใจแบบหมากัดไม่ปล่อย ไม่ว่าความรู้สึกที่เหลืออยู่จะเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายขนาดไหนก็ตาม พวกเขาไม่เหลือคราบของคนที่มีความสุข คนรอบข้างก็ต้องเจ็บปวดด้วย

ระดับแปด "จอมบงการชีวิต"

พวกเขาต้องการความรักจากคนอื่น และคิดว่าพวกเขามีสิทธิโดยสมบูรณ์ที่จะได้รับสิ่งที่ต้องการ ทุกคนในโลกนี้เป็นหนี้ชีวิตพวกเขา เพราะความเสียสละที่พวกเขาได้ทำลงไปแล้วในอดีต พวกเขากลัวที่จะไม่ได้รับรักมากเสียจนกลายเป็นคนที่ยากที่ใครจะอยู่ร่วมได้ ในระดับนี้ พวกเขาเริ่มกดเก็บความต้องการไว้ไม่อยู่ และเบื่อหน่ายกับการเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว พวกเขายืนกรานที่จะให้ความต้องการของตนมาก่อนคนอื่น พวกเขาเผยอัตตาออกมา และเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างคืนเป็นการตอบแทน

พวกเขาตามล่าความรักจากทุกแหล่ง โดยมากแล้ว "ไทป์สอง" ในระดับนี้เคยผ่านประสบการณ์ทารุณย์มาในวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางเพศ หรือทางอารมณ์ พวกเขาจะไม่รู้จักความรักที่แท้จริงแม้ว่าจะเผอิญได้เจอเข้า พวกเขาแสวงหาความสัมพันธ์แบบเดียวกับที่เคยมีกับผู้ปกป้องในอดีต ไม่ว่าจะเป็น การถูกทารุณกรรม การถูกทอดทิ้ง หรือการใช้ความรุนแรง พวกเขาอาจมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ การทำลาย และการปลดเปลื้องทางเพศ

พวกเขาระเบิดความโกรธที่ได้กดเก็บไว้ออกมาด้วย แต่ก็ยังสงวนไว้กับใครบางคนที่ตนรักมาก ความก้าวร้าวของพวกเขาถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของการทำให้คนอื่นรู้สึกด้อยค่าในนามของความรัก พวกเขาพูดไม่ดีต่อคนอื่นทั้งต่อหน้า และลับหลัง และพยายามสำเร็จโทษคนอื่นด้วยการเลิกรักคนนั้น "เอาสิ ต่อไปนี้ลองดูว่าถ้าไม่มีฉันแล้วจะเป็นอย่างไร" และพยายามทำนายว่าคน ๆนั้นต้องไปไม่รอดแน่ถ้าไม่มีเขา พวกเขาไม่รู้สึกผิดว่าตัวเองชอบพูดทวงบุญคุณ เพราะเอาความรักมาเป็นข้ออ้าง พวกเขาจะทวงบุญคุณ และต่อว่าว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับกลับมาเป็นความขมขื่น

การพูดหักหาญกำลังใจคนอื่นอาจเรียกร้องความสนใจให้กลับมาได้ แต่มันเป็นความสนใจอีกรูปแบบหนึ่ง ได้แก่ความโกรธ แต่นั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาหยุด เพราะพวกเขาจะยิ่งบอกว่า ตนทำแต่ความดี แต่ดูสิคนอื่นกลับทำกับพวกเขาแบบนี้

พวกเขาต้องการความรักเสียจน พยายามบังคับคนอื่นให้รักตน อาจเป็นการเลี้ยงต้อย หรืออาจมีอาชีพอย่าง ครู พระ คนเลี้ยงเด็ก หรือพยาบาล อาชีพเหล่านี้สังคมเทิดทูนและไม่ระแวง เมื่ออยู่ในระดับนี้ พวกเขาจะใช้ข้อนี้เป็นโอกาสในการข่มขืนเด็ก หรือแสวงหารักในรูปแบบต่าง ๆจากเด็ก เพื่อสนองความต้องการทางอารมณ์และทางเพศ เพราะโหยหาความผูกผันใกล้ชิดกับคนอื่น พวกเขาใช้ความไม่มีทางสู้ของเด็กเป็นเครื่องมือ พวกเขาชอบเด็กเพราะเด็กช่วยตัวเองไม่ได้ พวกเขาจะปลอบประโลมเด็กทุกคนที่พวกเขาทำให้หวาดกลัว ทำตัวเป็นพ่อพระสลับกับคนใจบาป

ระดับเก้า "เหยื่อทางใจ"

ถ้าขอความรักแล้วไม่ได้ผล พวกเขาเปลี่ยนวิธี ความเจ็บป่วยทางกายดูเหมือนจะได้ผล การช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บังคับคนอื่นให้ต้องการมาดูแลตน แม้ว่าการมาดูแลไม่ใช่การรัก แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย จิตใต้สำนึกของพวกเขาจะพยายามทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถทางกายภาพ เพราะมันช่วยทำให้พวกเขาสะใจกับสิ่งที่พยายามพร่ำบอกคนอื่นมาตลอดชีวิต "ฉันไม่เคยเห็นแก่ตัว ฉันตกเป็นเหยื่อของคนอื่นมาตลอด ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะคนอื่น"

superego ของเขาเป็นพิษ และปราศจากความเมตตาต่อตัวเขา และทำให้ "ไทป์สอง" ไม่มีทางออกทางอื่นที่จะหาความรักมาได้นอกจากการกลายเป็นคนเจ็บ มันเป็นอาการที่เป็นมาจากอาการฮิสทีเรียซึ่งแปรเปลี่ยนความวิตกกังวลให้กลายเป็นความเจ็บป่วยทางด้านร่างกายได้ ซึ่งโรคที่เป็นก็มักเป็นโรคที่มีผลมาจากความเครียด พวกเขามักป่วยบ่อยจน ทุกคนสังเกตออกว่า "ไทป์สอง" รู้สึกเป็นสุขกับการได้เจ็บป่วย แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้แกล้งป่วย แต่กำลังเอาประโยชน์จากความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจริง มันเป็นเสมือนการประท้วงคนที่ไม่ยอมรับรักของ "ไทป์สอง" มันเป็นวิธีการที่จะได้รับความเอาใจใส่จากคนเหล่านั้นอย่างยาวนาน

พัฒนาการ

จาก "ไทป์สอง" ไปสู่ "ไทป์แปด"

ในระดับสี่ "ไทป์สอง" ตอบสนองต่อความเครียดด้วยการเข้าสู่ "ไทป์แปด" เพราะ พวกเขาเป็นพวกกดเก็บความก้าวร้าว การเข้าสู่ "ไทป์แปด" เป็นทางระบายความก้าวร้าวออกในเวลาที่ กลไกการป้องกันตัวตามปกติไม่ทำงาน พวกเขาจะเริ่มกลายเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ ใจกล้า โผงผาง และถึงพริกถึงขิงมากกว่าเดิม พวกเขาจะทำงานหนักมากขึ้น ทุ่มเททุกอย่างมากกว่าเดิม

ในระดับห้า พวกเขาเข้าสู่ "ไทป์แปด" เพื่อเรียกร้องความสำคัญ พวกเขาจะโอ้อวด ทำวางเขื่อง

ในระดับหก เมื่อความปรารถนาดีใช้ไม่ได้ผล พวกเขาจะแสดงความก้าวร้าวของ "ไทป์แปด" ออกมา พวกเขาจะพูดทำลายความมั่นใจของคนอื่น เพื่อโน้มน้าวให้รับเอาความคุ้มครองของเขาไว้ ภาพของนักบุญหายไปกลายเป็นความโกรธ และความแค้น โดยที่พวกเขาจะมีเหตุผลอธิบายพฤติกรรมเหล่านั้นอย่างดี หรือทำลืมเสีย ในขณะที่คนอื่นยากที่จะลืม

ในระดับเจ็ด การเข้าสู่ "ไทป์แปด" แสดงถึงความไม่สามารถกดเก็บความโกรธได้อีกต่อไปแล้ว พวกเขาอาจถึงกับลงไม้ลงมือ กรีดร้อง และทำอันตรายคนที่ทำให้ไม่สมใจ

ในระดับแปด พวกเขาควบคุมความต้องการของตัวเองไม่ได้ พวกเขาป่าเถื่อน และไล่ล่าคนที่ปฏิเสธพวกเขา ปัญหาของเขาคือ การที่ไม่มีสติตื่นรู้ความก้าวร้าวของตัวเอง

ในระดับเก้า ความเจ็บป่วยทางกายขัดขวางพวกเขาไม่ให้ทำร้ายคนอื่น แต่สภาพแบบนี้อยู่ได้ไม่ตลอดไป เมื่อพวกเขาหายดี พวกเขาก็จะเริ่มเข้าสู่ "ไทป์แปด" และระเบิดอารมณ์ใส่คนอื่นอีก และเนื่องด้วยพวกเขาอยู่ในระดับเสื่อม พวกเขาจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือจัดการกับความก้าวร้าวอย่างถูกต้อง การเข้าสู่ "ไทป์แปด" เป็นการแก้แค้นคนที่ไม่รับรักตน ความรักกลับกลายเป็นความเกลียด และนำไปสู่ความรุนแรงและการทำลายล้างในเวลาต่อมา แม้แต่การฆาตกรรมก็อาจเกิดขึ้นได้ในระดับนี้ คนในครอบครัวเป็นกลุ่มที่เสี่ยงภัยที่สุด

จาก "ไทป์สอง" ไปสู่ "ไทป์สี่"

การเข้าสู่ "ไทป์สี่" ทำให้ "ไทป์สอง" ตระหนักถึงความรู้สึกของตัวเอง โดยเฉพาะความรู้สึกที่ก้าวร้าว พวกเขาจะเริ่มรู้จักตัวเองอย่างที่ตัวเองเป็น เลิกปฏิเสธที่จะเห็นตัวเอง และแรงขับของสัญชาตญาณที่ตนมี ไปสู่ความสว่าง

ในระดับดี พวกเขายอมรับความรู้สึกในแง่ลบของตนพอ ๆกับความรู้สึกในแง่บวก แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะนำมาปฏิบัติ พวกเขาเพียงแต่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และยอมรับว่ามันมีอยู่ เป็นการยอมรับตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข ทำให้พวกเขาเริ่มเข้าถึงความต้องการของคนอื่นได้ด้วยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาจะได้รับความรักจากคนอื่น ไม่ใช่เพราะพวกเขาทำดีกับคนอื่น แต่คนอื่น ๆรักเขาอย่างที่เขาเป็น

อีกสิ่งหนึ่งที่ตามมาจากการเข้าสู่ "ไทป์สี่" ก็คือ ความคิดสร้างสรรค์ พวกเขามีความเป็นปุถุชนมากขึ้น สิ่งที่พวกเขาให้กับคนอื่นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์จริง ๆเพราะ พวกเขาจริงกับตัวเอง อย่างที่ตัวเองเป็น

ไทป์ย่อย

"ไทป์สองปนหนึ่ง - คนรับใช้"

ทั้ง "ไทป์สอง" และ "ไทป์หนึ่ง" ล้วนถูกตีกรอบด้วย superego ดังนั้น ถ้าจะประเสริฐ "ไทป์สองปนหนึ่ง" ก็จะประเสริฐมาก ในขณะเดียวกัน "ไทป์สอง" กับ "ไทป์หนึ่ง" ก็มีบางอย่างที่ขัดแย้งกันอยู่ "ไทป์สอง" ใช้ความรู้สึก ลำเอียง เหนือจริง แต่ "ไทป์หนึ่ง" ใช้เหตุผล ไม่ลำเอียง และควบคุมตัวเอง "ไทป์สองปนหนึ่ง" จึงเข้มงวดต่อหน้าที่ที่ตนอุทิศให้คนอื่น และพูดน้อยกว่า "ไทป์สองปนสาม" และทำให้"ไทป์สองปนหนึ่ง" ดูคล้าย Six พวกเขามีอุดมการณ์ที่จะปฏิบัติต่อทุกอย่างอย่างเป็นธรรม และบ่อยครั้งที่หลักการขัดแย้งกับเรื่องของหัวใจ

ตัวอย่างบุคคล ได้แก่ Mother Teresa, Eleanor Roosevelt, Archbishop Desmond Tutu, Danny Thomas, Alan Alda, Ann Landers, Florence Nightingale, Lewis Carroll, " Melanie Hamilton Wilkes," "Jean Brodie"

ในระดับดี พวกทำประโยชน์ให้คนอื่นได้หลายอย่าง อาจเป็นเพราะ "ไทป์หนึ่ง"-wing พวกเขาให้ความรู้ ทำชีวิตให้ดีขึ้น และมักเป็นผู้ก่อตั้ง หรือเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิ พวกเขามีจิตใจบริการ โดยไม่หวังผลตอบแทน และปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์มากกว่า "ไทป์สองปนสาม" พวกเขาจริงจังต่อเป้าหมาย เป็นครูที่ดี เพราะให้ข้อเท็จจริง และให้ความอบอุ่นทางใจแก่เด็ก พวกเขาให้กำลังใจ และชื่นชมคนอื่น พวกเขาค่อนข้างใช้ชีวิตตามอัตภาพ และเน้นประโยชน์ใช้สอย แทนที่จะทำอะไรเกินตัวอย่าง "ไทป์สองปนสาม"

ในระดับปานกลาง พวกเขามีความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์ กับความรู้สึกส่วนตัว เพราะการเห็นอกเห็นใจคนอื่นของ "ไทป์สอง" ค่อนข้างขัดแย้งกับหลักการของ "ไทป์หนึ่ง" พวกเขามีใจที่จะบริการคนอื่น และไม่กล้าปฏิเสธคน แต่บางทีก็มีแนวโน้มที่จะชอบบังคับคนอื่น และตัวเอง พวกเขาไม่ถนัดที่จะเรียกร้องความสนใจ และชอบปิดทองหลังพระ แต่ความเป็น "ไทป์สอง" ก็ยังทำให้ลึก ๆแล้วอยากเป็นคนสำคัญในชีวิตของคนอื่น พวกเขารู้สึกผิดและตำหนิตัวเองบ่อยกว่า "ไทป์สองปนสาม" มักวิจารณ์ตัวเองที่ไม่สามารถบรรลุมาตรฐานได้ พวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีมากพอ และไม่ค่อยกล้าเรียกร้องเท่า "ไทป์สองปนสาม"

ในระดับเสื่อม พวกเขาไม่ยืดหยุ่น ในสิ่งที่ตนเองเชื่อมั่น สิ่งเหล่านี้ผสมผสานกับการหลอกตัวเอง และแรงปรารถนาที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองมีค่า ทำให้กลายเป็นคนหัวแข็งอย่างร้ายกาจ ติคนอื่นเก่ง แต่ไม่ยอมติตัวเอง ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด หรือเห็นแก่ตัว และปฏิเสธความรู้สึกก้าวร้าวของตัวเอง มักมีอาการ ไฮโปคอนเดีย และจิตสลาย พวกเขาหมกหมุ่นอยู่กับร่างกายของตัวเอง

"ไทป์สองปนสาม - เจ้าบ้าน"

"ไทป์สอง" กับ "ไทป์สาม" มีส่วนที่ส่งเสริมกัน ทั้งสองไทป์ล้วนแล้วแต่เก่งคน "ไทป์สาม" สร้างเสน่ห์ให้กับ "ไทป์สอง" ทำให้เป็นคนมีบุคลิก และปรับตัวได้ดี พวกเขาจึงแสวงหารักด้วยการสร้างความผูกพันใกล้ชิด ล่อลวงเก่ง พวกเขาเอาชนะใจคนด้วยความมีเสน่ห์ และความสง่างามทางสังคม พวกเขาให้ความสำคัญการ เรื่องของความสัมพันธ์มาก เพราะ "ไทป์สาม" ต้องการการยอมรับ ส่วน "ไทป์สอง" ต้องการการชื่นชม และความสนิทสนม

ตัวอย่างบุคคล Luciano Pavarotti, Barbara Bush, Barry Manilow, Richard Simmons, Sammy Davis, Jr., Leo Buscaglia, Kathy Bates, Doug Henning, Tommy Tune, John Denver, Pat Boone, Lillian Carter

ในระดับดี พวกเขามีเสน่ห์ เป็นมิตร และเฮไหนเฮนั้น พวกเขามีความสุขกับการเป็นจุดสนใจ มั่นใจ และใช้ชีวิตอย่างมีสวัสดิภาพ พวกเขามีอิสระเสรี และเจ้าสำราญจนดูคล้าย "ไทป์เจ็ด" พวกเขามีความอบอุ่นที่จริงใจอยู่ในตัว และสามารถสื่อสารไปยังคนอื่นได้ การให้ของพวกเขาดูไม่เกินงาม พวกเขายินดีที่จะแบ่งปัน ความสามารถส่วนตัวให้คนอื่น ไม่ว่าจะเป็น การทำอาหาร การเต้น การร้องเพลง การฟัง ฯลฯ พวกเขาเป็นเสมือนผู้ให้ของขวัญ มากกว่าที่จะเป็นคนใช้ พวกเขาห่วงคุณภาพชีวิตของสังคมมากกว่าเรื่องศีลธรรม

ในระดับปานกลาง "ไทป์สองปนสาม" ต้องการแสดงตนในภาพลักษณ์ของคนที่อบอุ่น และเป็นมิตร พวกเขาอยากเป็นคนพิเศษที่ทุกคนปรารถนา พวกเขาวัดผลตัวเองจากการตอบสนองของคนอื่นที่มีต่อตน พวกเขาจะวัดว่าตัวเองเป็นที่ต้องการของคนทั่วไปขนาดไหน โดยเฉพาะในเรื่องของความมีเสน่ห์ทางร่างกาย หรือความเซ็กซี่ พวกเขาทำงานหนัก และคาดหวังผลสำเร็จ ความห่วงภาพพจน์ของ "ไทป์สาม" ปรากฏออกมาในรูปของการทำตัวเป็นมิตรจนเกินเหตุ พวกเขาพยายามทำตัวน่ารัก และอารมณ์อ่อนไหวเกินจริง พวกเขาชอบยอคน และชอบนินทา ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก แต่ก็มักเป็นสาเหตุให้เพื่อน ๆที่สนิทสนมมาก ๆเลิกคบ พวกเขาอ่อนไหวกับสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับตัวเขามาก พวกเขามีอาการหลงตัวเอง "ไทป์สาม" ช่วยทำให้ "ไทป์สอง" แสดงความต้องการของตัวเองอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น พวกเขากลัวการขายหน้ามากกว่าการรู้สึกผิดที่ละเมิดอุดมการณ์ของตัวเอง

ในระดับเสื่อม พวกเขาหลอกทั้งตนเองและคนอื่น ชอบฉวยโอกาส พวกเขาเกลียดคนที่เป็นศัตรูอย่างรุนแรง พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำลายสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถมีได้ โดยเฉพาะทำร้ายความสัมพันธ์ของคนอื่น พวกเขาอาจทำพิศวาสฆาตกรรม

บทส่งท้าย

ปัญหาของ "ไทป์สอง" คือการทุ่มเทให้กับรักมากเกินไป เมื่อไม่ได้ก็เสียใจมาก ในระดับเสื่อมพวกเขาทำสิ่งตรงกันข้ามกับความต้องการของตัวเอง พวกเขาอยากจะถูกรัก แต่กลับเกลียดคนอื่น คนเพียงกลุ่มเดียวที่สนใจจะมาปรนนิบัติ "ไทป์สอง" ในระดับเสื่อมก็คือ "ไทป์สอง" คนอื่น ๆ ซึ่งต้องการที่จะหลอกใช้คน และยัดเยียดความปรารถนาดีให้กับคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว ผลก็คือโศกนาฏกรรม

"ไทป์สอง" อาจจะถูกที่ให้คุณค่ากับความรัก แต่ผิดที่การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก แน่นอนพวกเขาย่อมต้องผิดหวัง เมื่อใดที่มีอัตตาแอบแฝงมาในความรัก มันย่อมเป็นรักไม่แท้ ซึ่งผลก็คือสิ่งที่เราได้เห็นในบุคลิกภาพของ "ไทป์สอง"

Type Five

Type Five
แรงจูงใจ

ต้องการเป็นคนมีความสามารถ ชำนาญในวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นพิเศษ ชอบค้นหาความจริง ไม่ถูกใครรบกวน และละความต้องการของตัวเอง

"ไทป์ห้า" เป็นไทป์ของอัจฉริยะ และคนเสียสติ เป็นไทป์ของคนที่เข้าใจสิ่งต่าง ๆได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นไปได้ทั้งอัจฉริยะ และคนเสียสติ อัจฉริยภาพนั้นอาจดูหลุดโลกไปบ้าง เป็นเพราะมันคือการเข้าใจความเป็นจริงในระดับที่สูงกว่าคนทั่วไป แต่ไม่ใช่คนบ้าที่ลึกซึ้ง แต่หลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไม่มีวันหวนกลับ การศึกษาไทป์นี้ ก็คือการหาความแตกต่างในความเหมือนของอัจฉริยภาพ กับวิกลจริตนั่นเอง

บุคคลตัวอย่าง

Albert Einstien, Stephen Hawking(นักฟิสิกส์), Friedrich Nietzsche(ปราชญ์ชาวเยอรมัน), Stanley Kubrick, Geogria O'Keeffe(จิตรกร), Emily Dickinson(กวีอเมริกัน), Simone Weil(กวีชาวฝรั่งเศส), Bill Gates, Jean-Paul Sartre(ปราชญ์ชาวฝรั่งเศส), Jacob Bronowski, James Joyce(นักเขียนชาวไอริช), Gary Larson, David Lynch, Stephen King(นักเขียนนิยายสยองขวัญ), Tim Burton(ผู้กำกับ "Batman"), Clive Barker, Laurie Anderson, Meredith Monk, John Cage(นักประพันธ์ดนตรี), Glenn Gould(นักเปียโน), Charles Ives(นักประพันธ์ดนตรี), Bobby Fischer(แชมป์หมากรุก), Vincent van Gogh(จิตตกร)

กับความคิด

ปัญหาของ "ไทป์ห้า" มาจากการให้ความสำคัญกับการคิดมากกว่าการทำ พวกเขาคิดตลอดเวลา โดยที่ไม่สนใจสิ่งรอบตัวเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาไม่ทำอะไรเลย เพียงแต่พวกเขาถนัดที่จะใช้ความคิดมากกว่า การลงมือปฏิบัติ ไทป์ในกลุ่มความคิด ("ไทป์ห้า"-"ไทป์หก"-"ไทป์เจ็ด") ล้วนแล้วแต่สนใจโลกภายนอกตัวเอง ที่จริง "ไทป์ห้า" ก็ไม่ยกเว้น แม้ว่าพวกเขาจะหมกมุ่นอยู่กับการใช้ความคิด แต่สิ่งที่พวกเขากำลังคิดอยู่นั้น พวกเขารับมาจากการได้พบเจอสิ่งรอบตัว สิ่งซึ่งพวกเขาสงสัย และเก็บมาคิด ปัญหาของ "ไทป์ห้า" จึงอยู่ที่พวกเขามักต้องการที่จะ ทำให้สิ่งรอบตัวที่ตนสงสัยนั้นสอดคล้องกับ ความคิดของตนเสียก่อนที่จะเริ่มลงมือปฏิบัติ

ความไม่ปลอดภัย และความวิตกกังวล

กลุ่มความคิดมีปัญหากับ ความรู้สึกไม่ปลอดภัย "ไทป์ห้า" รู้สึกว่าโลกภายนอก เอาแน่เอานอนไม่ได้ จึงดูอันตราย พวกเขาคิดว่าตัวเองไม่เก่งในการต่อกรกับอันตรายรอบด้านอย่างคนอื่น ๆ พวกเขาจึงมุ่งที่จะ หาความรู้หรือทักษะต่าง ๆใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

ความกลัวพื้นฐานของ "ไทป์ห้า" คือ กลัวไร้สามารถ ช่วยอะไรไม่ได้ พวกเขาคิดว่าความสามารถของตนมีจำกัด จึงลดละความต้องการ และกิจกรรมทั้งหลายลงเมื่อใดก็ตามที่รู้สึกวิตกกังวล อาจถึงกับดำรงชีวิตแบบ คนป่าเลยก็ได้ เพื่อลดความรู้สึกขาดแคลน ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาจะหลีกหนีสภาวะที่คนรอบข้างคาดหวังจากเขา แต่เขาไม่สามารถพอที่จะทำให้ได้ เกิดพฤติกรรมหลีกหนีสังคม

ถ้า "ไทป์ห้า" อยู่ในระดับดี พวกเขาช่างสังเกต และเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆรอบตัวที่ซับซ้อนได้ดี อยู่ในโลกของความเป็นจริง ในระดับปานกลาง พวกเขาเริ่มคิดมากเนื่องจากความวิตกกังวล เริ่มเหม่อลอย ซึ่งยิ่งทำให้กังวล เพราะเป็นการตอกย้ำว่าตัวเองไม่สามารถรับมือกับความเป็นจริงได้ แม้แต่ปัจจัยสี่ธรรมดาก็ยังรู้สึกขาดแคลน เมื่อ "ไทป์ห้า" เข้าสู่ระดับเสื่อม พวกเขาจะหลบผู้คน และคิดอะไรแปลก ๆเกี่ยวกับตัวเองและโลกแห่งความเป็นจริง ติดอยู่ในแนวคิดที่ตนเองสร้างขึ้นมา

ความวิตกกังวลของ "ไทป์ห้า"

เกี่ยวข้องกับความไม่สามารถรับรู้โลกภายนอกอย่างเป็นกลางได้ พวกเขาหลีกเลี่ยงมิให้ความคิดของคนอื่นเข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดของตน ในขณะเดียวกัน ความคิดที่กลัวกว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้จะทำให้ "ไทป์ห้า" รู้สึกว่ากิจกรรมของคนอื่น จะเบียดบังเวลาของตนไปหมด และควบคุมตนไว้ พวกเขาไม่ยอมคิดอะไรตามคนอื่น เพราะมันเป็นการทำลายความมั่นใจในตัวเองสำหรับพวกเขา การคิดอะไรคนเดียวโดยไม่ตรวจสอบกับโลกภายนอกนี้เอง ทำให้ "ไทป์ห้า" ดูหลุดโลกมาก

บุคลิกของ "ไทป์ห้า" อาจดูเป็นคนหันเข้าหาตัวเอง แต่ที่จริงแล้วพวกเขาหันเข้าหาโลกภายนอกอยู่ไม่น้อย พวกเขาจดจ่ออยู่กับการพยายามที่จะเข้าใจโลก และใช้ความคิดในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเพื่อเผชิญหน้ากับมันหรือเพื่อหลีกหนีก็ตาม

"ไทป์ห้า" สนใจสิ่งรอบตัวเสมอ แม้สิ่งเล็กน้อยที่คนอื่นไม่เห็นว่าเป็นสาระ อุปนิสัยนี้อาจนำ "ไทป์ห้า" ไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ แต่หากเมื่อใดก็ตามที่ "ไทป์ห้า" หยุดสังเกตสิ่งรอบตัว และหันมาจดจ่ออยู่กับการตีความเพียงอย่างเดียว เมื่อนั้นพวกเขาจะเอาแต่คิด ไม่ทำอะไรให้เป็นรูปธรรม เป็นสาเหตุให้สูญเสีย ความมั่นใจในตัวเอง ไม่เผชิญหน้ากับความเป็นจริง และรู้สึกหวาดกลัวว่าตนเองจะตกเป็นเหยื่อของโลกที่โหดร้ายมากขึ้น

กับพ่อแม่

ในวัยแรกเกิด "ไทป์ห้า" Two และ Eigth มองหาสิ่งที่ตนทำได้คนเดียวในครอบครัว สิ่งซึ่งทำให้ตนมีสิทธิ์อยู่ในครอบครัว และได้รับการเลี้ยงดูและปกป้องจากพ่อแม่ แต่พวกเขาจะรู้สึกว่าไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่ "ไทป์ห้า" จะใจลอยเพื่อหลีกหนีการมีปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เพื่อตามหาสิ่งที่ทำให้ตนได้รู้สึกทัดเทียมกับคนอื่นในครอบครัว ความกลัวว่าตนเองจะเป็นคนไร้สามารถ ทำให้ "ไทป์ห้า" พุ่งประเด็นไปที่การสร้างความสามารถพิเศษให้กับตนในสิ่งที่ยังไม่มีใครในโลกทำได้มาก่อน เพื่อให้ตนเกิดความมั่นใจในตัวเองมากพอที่จะกลับเข้าสู่สังคมอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน "ไทป์ห้า" ได้สร้างข้อแม้อันหนึ่งขึ้นกับพ่อแม่ ซึ่งมีผลต่อความสัมพันธ์กับพ่อแม่เมื่อโตขึ้น นั้นก็คือ "อย่างมายุ่งย่ามกับฉันมาก และฉันก็จะไม่ยุ่งย่ามกับเธอ" "ไทป์ห้า" มักรู้สึกรำคาญถ้าใครจะมาขโมยเวลาอันมีค่าในการหาความรู้สึก และฝึกฝนทักษะของตัวไป ความใกล้ชิดที่คนในไทป์อื่นอาจรู้สึกอบอุ่นอาจเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับ "ไทป์ห้า" อาจเป็นเพราะ "ไทป์ห้า" รู้สึกว่าไม่มีที่สำหรับตนในครอบครัว ซึ่งเป็นผลมาจากการเลี้ยงดูที่ผิดวิธี การถูกรบกวนทางอารมณ์ การติดเหล้า หรือการที่ครอบครัวที่ไม่ได้รักกัน ทำให้ครอบครัวเป็นที่พึ่งไม่ได้สำหรับเขา "ไทป์ห้า" จะหาทางออกด้วยการไม่ไว้ใจสิ่งใด ๆนอกจากการใช้ความคิดของตัวเอง พวกเขาจะมองว่าสิ่งที่อยู่ในความคิดเป็นสิ่งดี สิ่งภายนอกเป็นสิ่งเลว การอยู่ท่ามกลางฝูงคนทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย และรู้สึกอยากหลีกหนี ใช้ความคิดตลอดเวลา รวมทั้งไม่ใส่ใจความสุขสบายทางกาย พวกเขายอมละทิ้งความสุขหรือความต้องการเพื่อแลกกับการไขว่คว้าหาสิ่งที่ตนเองสนใจ และสร้างความชำนาญขึ้น

การเก็บตัว และโรคกลัว

ในระดับดี "ไทป์ห้า" จะไม่หลีกหนีสังคม พวกเขารู้สึกปลอดภัยและมั่นใจพอที่จะอยู่ท่ามกลางคนอื่น การที่อยู่กับสิ่งรอบตัวนี่เอง ทำให้การสังเกตของพวกเขาแม่นตรง และมีสมดุลกับการใช้ความคิด แต่เมื่อ "ไทป์ห้า" ถอยลงสู่ระดับปานกลางถึงเสื่อม ความคิดของพวกเขาจะเริ่มจดจ่ออยู่กับเรื่องน่ากลัว อันตรายต่าง ๆ อย่างวิตกกังวล และยิ่งกลัวเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกอยากขุดคุ้ยสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น และกลายเป็นโลกของความเป็นจริงสำหรับ "ไทป์ห้า" พวกเขาอาจมีอาการของโรคกลัว นาน ๆเข้าแทนที่จะแค่หลุดจากความเป็นจริง พวกเขาจะหลุดจากโลกของความคิดด้วย กลายเป็นคนวิกลจริตในที่สุด

ระดับจิตใจ

ระดับหนึ่ง "ผู้บุกเบิกแนวคิด"

"ไทป์ห้า" ในระดับนี้มองอะไรทั้งกว้างและลึกในเวลาเดียวกัน พวกเขามองเห็นภาพรวมของสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ สร้างวิทยาการใหม่ขึ้นเพื่ออธิบายสิ่งต่าง ๆโดยใช้ความรู้ที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น มิติและเวลา โครงสร้างของดีเอ็นเอ ความสัมพันธ์ระหว่างสารเคมีในสมองกับพฤติกรรม ถ้าหากเขามีหัวศิลปะด้วย พวกเขาอาจบุกเบิกศิลปะแนวใหม่ ที่จะเป็นบรรทัดฐานให้คนอื่นสร้างสรรงานศิลป์ และเรียนรู้ได้

พวกเขาค้นพบสิ่งใหม่ได้เพราะไม่ยึดติดอยู่กับความคิดส่วนตัว แต่อาศัยการสังเกตความเป็นจริงอย่างเปิดใจกว้าง ไม่เร่งรัดที่จะพบคำตอบ พวกเขาเข้าใจสิ่งต่าง ๆอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเป็นนักคาดการณ์อนาคตที่แม่นยำ พวกเขาไม่ได้คิดแบบหาเหตุผล แต่ใช้สิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า ปัญญา หรือเป็นการสงบใจให้สามารถสะท้อนสิ่งต่าง ๆออกมาได้ พวกเขาไม่ได้ใช้ใจเป็นกลไกในการป้องกันตัวจากความจริง แต่ยอมให้ความจริงนั่งอยู่ในใจ

"ไทป์ห้า" ในระดับนี้ที่มีพรสวรรค์จริง ๆจะค้นพบหลักการที่อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้ อย่างที่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน หรืออย่างน้อยก็จะได้พบกับความตื่นเต้นเมื่อได้เข้าใจสิ่งที่ยาก ๆอย่าง แคลคูลัส หรือการใช้คอมพิวเตอร์ "ไทป์ห้า" ในระดับนี้หลุดพ้นจากการหมกมุ่นกับตัวเอง พวกเขามีสติอยู่กับความรู้สึกเป็นสุขและสงบในโลกใบนี้ และเป็นอิสระจากความรู้สึกหวาดกลัวว่าตนจะไร้สามารถ ไม่ไคว่คว้าหาความรู้อย่างไม่คิดชีวิต หรือรู้สึกว่าสิ่งรอบตัวกำลังท้าทายตนอยู่

ระดับสอง "นักสังเกต"

"ไทป์ห้า" สนใจสิ่งรอบตัวมาก เป็นไทป์ที่สมองตื่นตัวมากที่สุด อยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา พวกเขาสนุกกับการใช้ความคิด การใช้ความรู้ประยุกต์ไปมาในหัวสมอง การได้รู้และเข้าใจเป็นความสุขสำหรับพวกเขา พวกเขารู้สึกหลงไหลใน ผู้คน ธรรมชาติ ชีวิต และจิตใจ

หากพวกเขามีระดับสติปัญญาสูง พวกเขาจะเปลี่ยนการรับรู้โลกอย่างผิวเผินไปเป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มองเห็นสิ่งที่ยังขาดไปในการอธิบายภาพรวม พวกเขาคิดว่าอะไรก็ตามที่ประสาทสัมผัสรับรู้ได้ สิ่งนั้นย่อมอธิบายได้ และย่อมเข้าใจได้ เมื่อเข้าใจแล้วก็ชำนาญได้ นำไปสู่การนำไปปฏิบัติอย่างมั่นใจในทึ่สุด

พวกเขาเป็นคนที่ช่างสังเกตอย่างมาก สนใจสิ่งรอบตัวตลอดเวลาและไม่มีวันเบื่อ อยากรู้และเข้าใจทุกสิ่งที่ได้ประสบ และต้องการที่จะรู้มากขึ้นเรื่อย เพราะโลกนี้มีสิ่งซับซ้อนซ่อนอยู่มากมายเป็นอนันต์ เรียนรู้ได้ไม่รู้จักจบสิ้น พวกเขามีความสามารถในการรับรู้ที่ดีกว่าคนอื่น เพราะมีสมาธิจดจ่อ พวกเขาจะตั้งใจกับสิ่งที่ต้องการเรียนรู้อย่างหนักจนกว่าจะเข้าใจ พวกเขาสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นปี ๆแม้ว่าจะไม่มีใครสนับสนุนหรือให้กำลังใจ เพราะสิ่งที่ดึงดูดพวกเขาคือเวลาที่ได้เรียนรู้ ได้ศึกษา มากกว่าความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น พวกเขาเป็นนักสร้างหลักการรวมที่ใช้อธิบายสิ่งต่าง ๆ สร้างสมมติฐาน แล้วสร้างกรอบในการสำรวจปัญหานั้น

ไม่ว่า "ไทป์ห้า" จะมีสติปัญญาหรือไม่ พวกเขาล้วนคิดว่าตนเป็นคนฉลาด และกลัวว่าคนจะมองว่าตนแปลก และพวกเขาก็มักแปลก เพราะใจของพวกเขามุ่งแต่สิ่งที่อยากรู้ จึงไม่สนใจสิ่งที่สังคมปฏิบัติกัน พวกเขามีแนวโน้มที่จะหลุดออกจากสิ่งรอบตัว กลายเป็นเพียงผู้สังเกต หรือคนนอกสำหรับสิ่งที่กำลังสนใจ ในระดับ Fiv e เริ่มมีความกังวลในสิ่งที่ตนยังไม่เข้าใจ และเมื่อเข้าไปใช้สมองกับสิ่งเหล่านั้น พวกเขาก็จะติดอยู่กับการหาคำตอบ ดังนั้น นิสัยช่างสังเกตของ "ไทป์ห้า" มิใช่แค่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็น แต่มีเรื่องของความวิตกกังวลด้วย

ระดับสาม "นวัตกร"

เมื่อ "ไทป์ห้า" คิดว่าตนฉลาดและช่างสังเกตกว่าใครแล้ว พวกเขาก็เริ่มกลัวว่าจะสูญเสียความสามารถนั้น หรือกลัวว่าสิ่งที่ตนรู้นั้นจะไม่จริง พวกเขาจะเริ่มทุ่มเทพลังงานทั้งหมดให้กับสิ่งที่ตนเองสนใจที่สุด ปรารถนาที่จะชำนาญในสิ่งนั้นอย่างที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังอยากก้าวล้ำไปในระดับที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน เพื่อว่าจะได้สร้างจุดที่ไม่ใครทำได้ให้กับตัวเอง และไม่มีทางที่ใครจะตามทัน การค้นหาสิ่งเหล่านี้เป็นผลทำให้ "ไทป์ห้า" สร้างสิ่งใหม่ ๆให้กับโลก และสร้างนิสัยเปิดใจกว้างให้กับพวกเขาด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะพวกเขาสนใจเสมอที่จะมองสิ่ง ๆต่างในมุมที่คนอื่น ๆมองด้วย พวกเขาไม่ยึดติดกับความคิดใดความคิดหนึ่ง และมักมีความอดทนในการอธิบายความคิดของตนเองให้คนอื่นฟัง ไม่ว่าจะยากมาก หรือเพราะผู้ฟังไม่ฉลาดพอก็ตาม พวกเขาจะอธิบายอย่างใจเย็นและปรารถนาที่จะให้คนอื่นเข้าใจสิ่งที่ตนพูด

"ไทป์ห้า" ในระดับนี้ชอบสนทนาเกี่ยวกับปัญหาและทางแก้ไข เพราะการได้พบปะเสวนา อธิบายสิ่งที่ตนรู้ให้กับกับผู้รู้ในแขนงอื่น มักจะได้รับความรู้ใหม่ ๆเป็นผลพลอยได้มาด้วย พวกเขาจึงมักเป็นครู เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนที่ดี ทำให้คนรอบข้างที่สนใจสิ่งเดียวกันอยู่รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย แม้ว่าพวกเขาจะชอบอยู่ท่ามกลางคนที่มีความสนใจเหมือน ๆกัน แต่พวกเขาก็เป็นปัจเจกเอามาก ๆพวกเขามักใช้เวลาศึกษาหาความรู้โดยลำพัง ยอมสละสังคม หรือทำอะไรฝืนกระแสเพื่อให้ได้ใช้เวลาไปกับการศึกษาหาความรู้

บุคคลสำคัญของโลกที่เป็น "ไทป์ห้า" มักเป็นคนที่ปฏิวัติความคิดใหม่ ๆ มีผลงานที่ทำให้โลกตะลึงไม่ว่าจะเป็น ศิลปะหรือวิทยาศาสตร์ วิธีการของพวกเขาจะถูกประนามอย่างอื้อฉาว ก่อนที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐานใหม่ในการสร้างสรร

พวกเขามีอารมณ์ขัน เชิงประชดประชัดพฤติกรรมของคนอื่นที่ตนสังเกตพบ พกวเขาหลงใหลความแปลกประหลาด ติดใจอยู่กับคำพูด ภาพ หรือวัตถุ อาจพูดตลกในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะต้องห้าม พวกเขาเก่งในการใช้จินตนาการในการสร้างทางออกใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา ทำให้หลายคนเป็น นักสร้างภาพยนตร์ คนเขียนการ์ตูน หรือนักเขียนแนวสยองขวัญ ไซไฟ และตลกร้าย ที่มีชื่อเสียง อารมณ์ศิลป์ของพวกเขามักสุดขั้วในสองทาง คือความเล็กจิ๋ว และความเหนือจริง ถ้าเป็นศิลปิน พวกเขาจะไม่สนใจสร้างสรรค์สิ่งที่อยู่ในความสนใจของมนุษย์โดยปกติอยู่แล้ว แต่จะมองหาสิ่งแปลกประหลาด

ในระดับนี้ "ไทป์ห้า" มีความมั่นใจตัวเอง มักสนใจหลายอย่างและเก่งทุกอย่างที่สนใจ พวกเขามีความสุขเพราะสิ่งที่ตนสนใจเป็นสิ่งที่สำคัญต่อมนุษยชาติ ในยุคนั้น ทำให้ตนรู้สึกว่ามีค่า

ระดับสี่ "ช่างจอมขยัน"

"ไทป์ห้า"ในระดับนี้เรามีความกลัว พวกเขากลัวว่าตนเองจะมีความรู้ความสามารถไม่มากพอที่จะทำอะไรต่ออะไร พวกเขาจะรู้สึกต้องการที่จะเรียนมากขึ้น ค้นคว้ามากขึ้น หาเทคนิคต่าง ๆมากขึ้น รู้สึกเหมือนยิ่งรู้มากเท่าไร ก็ยิ่งพบว่าตนเองไม่รู้มากขึ้นเท่านั้น พวกเขาเริ่มเอาตัวเขาไปอยู่ในสภาวะที่ตนเองรู้สึกมั่นใจมากกว่ามากขึ้น นั้นก็คือ การใช้ความคิด ไทป์ทุกไทป์ล้วนแล้วแต่มีพรสวรรค์ติดตัวมาคนละอย่าง สติปัญญาคือพรสวรรค์สำหรับ "ไทป์ห้า" แต่แทนที่ "ไทป์ห้า" ในระดับนี้จะเอาสติปัญญามาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต อย่างระดับต้น ๆ พวกเขาเริ่มใช้เวลาไปกับการไล่ล่าหามันแทน พวกเขาเริ่มเก่งในการสร้างแนวคิดรวบยอด และใช้เวลาไปกับการคิดหลักการที่ใช้อธิบายสิ่งต่าง ๆหรือแนวคิดรวบยอดต่าง ๆเป็นเวลานาน ๆแต่ไม่นำมาใช้ประโยชน์ พวกเขาติดอยู่กับการเตรียมตัว พวกเขาค้นคว้า ฝึกฝน หาความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับการสร้างสิ่งประดิษฐ์ การแต่งเพลง หรือการเขียนหนังสือ แต่ไม่ยอมลงมือ พวกเขาให้เหตุผลกับตัวเองว่า ยังไม่พร้อม หรือยังรู้ไม่มากพอเพราะแท้จริงแล้ว "ไทป์ห้า" รู้สึกไม่มั่นใจเมื่อตนเองต้องใช้ความสามารถส่วนตัวในการจัดการกับโลกภายนอก

ความรู้สึกที่ว่าตนเองยังเก่งไม่เท่าคนอื่น ทำให้ "ไทป์ห้า" ตัดขาดจากสังคม และใช้เวลาไปกับการฝึกฝนทักษะต่าง ๆ เริ่มเป็นคนจมอยู่กับความคิด อยู่กับสิ่งสะสมที่เกี่ยวกับการศึกษาต่าง ๆเช่น หนังสือ เทป วิดิทัศน์ ซีดี ฯลฯ โดยมาก "ไทป์ห้า" มักเป็นหนอนหนังสือ พวกเขาชอบเข้าร้านหนังสือ ห้องสมุด หรือร้านกาแฟที่ดึงดูดเหล่านักวิชาการที่ชอบสนทนาการเมือง ภาพยนตร์ หรือวรรณกรรม พวกเขาหมดเงินไปกับเครื่องมือแสวงหาความรู้แบบต่าง ๆไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ หรือหนังสือเก่า ๆ และเกลียดการใช้เงินเพื่อซื้อหาความสะดวกสบายทางกาย เพราะสิ่งที่มีความหมายต่อตัวตนของพวกเขาคือ สมองหรือจินตนาการ ไม่ใช่เรือนร่าง

ไม่ช้าไม่นาน "ไทป์ห้า" จะกลายเป็นผู้ชำนาญเฉพาะทาง ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ความภูมิใจของพวกเขาก็คือ การได้รู้อะไรสักอย่างที่คนรอบข้างไม่รู้ พวกเขาอาจเป็นนักวิชาการสาขาต่าง ๆเช่น นักวิเคราะห์ยีน นักคณิตศาสตร์ที่ศึกษาการก่อตัวของหิมะ นักศึกษาการอพยบของนก หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ไม่วิชาการมากก็ได้ อย่างการได้เป็นนักสะสม ของเก่า แสตมป์ การ์ตูน หรือเพลงแต๊ส การสะสมสิ่งของแสดงออกถึงความต้องการที่จะรวบรวมสิ่งต่าง ๆที่ตนรู้และถนัดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

อุปนิสัยเป็นนักสะสมอาจสร้างสิ่งที่น่าทึ่งให้กับ "ไทป์ห้า" พวกเขาอาจสะสมแผ่นเสียงของ The Beatles ทุกชุดและเรียงมันไว้ตาม พ.ศ. พวกเขามีความรู้สึกว่าจะรู้อะไรต้องรู้ให้ละเอียด และสมบูรณ์ การเปรียบเทียบความแตกต่างของพัฒนาการทางดนตรีของ Beethoven ในวัยต่าง ๆ หรือเทียบการเล่น Symphony No.3 ที่แตกต่างกันของแต่ละวง เป็นความสุขอย่างหนึ่งของพวกเขา และรู้สึกว่าได้ใช้เวลาไปอย่างมีค่า พวกเขาเริ่มใส่ใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เฉพาะทางมาก ๆ และเริ่มหลีกเลี่ยงกิจกรรมซึ่งที่จริงแล้วสร้างความมั่นใจในตัวเองให้กับพวกเขาได้จริง ๆไป

"ไทป์ห้า" เริ่มใช้ความคิดตลอดเวลา ซึ่งไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ไร้ประโยชน์ เพราะจากที่เคยเป็นคนช่างสังเกตสิ่งรอบตัว พวกเขาเริ่มสนใจรายละเอียดเล็กน้อยอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป และมองข้ามสิ่งอื่น พวกเขาใช้วิทยาศาสตร์กับทุกสิ่งที่ได้พบเจอ เริ่มออกห่างจากความเป็นจริง และใส่ใจแต่สิ่งที่สนใจเท่านั้น หรือก็คือ พวกเขามองอะไรลึกขึ้นแต่แคบลง

พวกเขาเป็นบุคคลประเภทที่อยากเต้นรำ แต่ขี้อายเกินไป พวกเขาจึงเอาแต่นั่งดูคนอื่นเต้น จดจำท่าทางการเต้นทุกอย่างก้าวอย่างเป็นระบบในหัวสมอง การเต้นรำสำหรับพวกเขาก็คือการคิดถึงท่าเต้นทุกรายละเอียด อย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ "ไทป์ห้า" ระดับนี้ชอบพูดคุยแสดงความคิดที่ตนเองมีอยู่ให้กับคนอื่น พวกเขากระตือรืนร้นที่จะได้พูดคุยกับผู้รู้ในเรื่องที่เขาสนใจ และหลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องส่วนตัว ความมุ่งหวัง ความต้องการ หรือความไม่สมหวังของตัวเอง

ระดับห้า "นักคิด"

ในระดับนี้ "ไทป์ห้า" ยิ่งจำกัดขอบเขตของความสนใจมากขึ้นอีก พวกเขาให้เวลากับสิ่งที่ไม่ได้สนใจน้อยลง ๆ และไม่ค่อยยอมทำอะไรใหม่ ๆ พวกเขาทุ่มเทชีวิตและเงินทองให้กับสิ่งที่ตนสนใจ เพื่อหวังว่าจะทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ผลของการใช้พลังงานไปกับสิ่งเหล่านั้นก็คือ การไม่ได้สัมผัสกับสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเขาจริง ๆ พวกเขาให้เวลากับโครงการของตัวอย่างมากแต่ไม่เคยสำเร็จ เพราะ "ไทป์ห้า" ขาดความมั่นใจ ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร และกลัวที่จะต้องอยู่ภายนอกโลกแห่งการใช้ความคิด

พวกเขาอาจจะอยากรู้จักและใกล้ชิดกับคนอย่างมาก แต่คิดว่ายังไม่พร้อมเพราะขาดทักษะที่พอเพียง และยังมองว่าการเข้าสังคมเป็นเรื่องที่เบียดบังเวลาของเขาในการสร้างทักษะ และความรู้ที่จำเป็น พวกเขาเริ่มจดจ่อกับการใช้ความคิดมากขึ้น สิ่งที่เคยสร้างขึ้นเป็นเสมือนทางเลือกสำหรับความเป็นจริงในระดับบน ๆเริ่มถูกใช้เป็นทางออกของ "ไทป์ห้า" ในระดับนี้

ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ "ไทป์ห้า" ในระดับนี้เริ่มลดความสนใจตัวเองด้วย ความรู้สึกไม่ปลอดภัยทำให้พวกเขาใช้เวลาไปกับการกระทำที่สร้างความมั่นใจ และทักษะให้กับตัวเองแบบชั่วครั้งชั่วคราวได้ ในใจของพวกเขานั้นจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เป็นการชดเชยความกลัวที่มีต่อโลกภายนอก ความคิดเริ่มซับซ้อนมากขึ้น และทำให้พวกเขาต้องให้เวลากับมันมากขึ้น พวกเขามักง่วนอยู่กับทฤษฎีที่ซับซ้อน อย่างดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ปรัชญา หรือเรื่องที่คนทั่วไปไม่รู้อย่าง โหราศาสตร์ เรื่องลี้ลับ ติดเกมส์ที่ใช้สมองอย่าง หมากรุก เกมส์คอมพิวเตอร์ เริ่มศึกษาการเล่นเกมส์ การสร้างเกมส์ มีแนวโน้มที่จะสนใจนิยายแนววิทยาศาสตร์ เรื่องสยองขวัญ การอยู่กับโลกแฟนตาซีทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนมีทักษะมากขึ้น แม้จะเป็นแค่ในความคิด การสนใจเรื่องแปลก ๆทำให้ได้พบสิ่งที่คนอื่นยังไม่พบ และเป็นกลไกการต่อต้านความกลัวว่าตนเองจะเป็นผู้ไร้สามารถ

การใช้ความคิดของ "ไทป์ห้า" เริ่มไร้ขอบเขต พวกเขาเริ่มคิดอะไรน่ากลัว ต้องห้าม หรือสังคมรับไม่ได้มากขึ้น "ไทป์ห้า" แสวงหาความจริง ไม่ว่ามันจะน่ากลัว หรือไม่น่าพิศมัยเท่าไรก็ตาม ในระดับดี ๆสิ่งนี้ทำให้ "ไทป์ห้า" ค้นพบอะไรใหม่ ๆ แต่ในระดับที่เสื่อมลง สิ่งนี้เป็นปัญหา เพราะความที่ "ไทป์ห้า" ขาดความสามารถในการสัมผัสกับโลกของความเป็นจริงได้อย่างแท้จริง การค้นหาความจริงในสิ่งที่ยังเป็นอจินไตยอยู่ ยิ่งทำให้ "ไทป์ห้า" มีความกลัวและวิตกกังวลต่อโลกและตัวเองมากขึ้น

ความกลัวและการใช้จินตนาการทำให้ "ไทป์ห้า" เริ่มมองทุกสิ่งในแง่ลบ พวกเขามีแนวโน้มที่จะสนใจ "พลังอำนาจ" อาจศึกษาเรื่องที่มี่ส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจ อย่างการเมือง ธรรมชาติ พฤติกรรมมนุษย์ และมักระแวงใครก็ตามที่อยู่ในสถานะที่ใช้อำนาจบังคับตนได้ มองว่าพวกเขาจะใช้มันบังคับตนอย่างไม่มีทางสู้ อันเป็นหนึ่งในสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุด

วิธีหนึ่งที่ "ไทป์ห้า" ใช้ในการป้องกันภัยคุกคามจากคนอื่น ก็คือการทำตัวเป็นความลับ พวกเขาไม่เต็มใจที่จะพูดเรื่องส่วนตัว อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว ด้วยเกรงว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นใช้อำนาจคุกคามตนเองได้ พวกเขาแม้ไม่ได้ปกป้องความเป็นส่วนตัวอย่างเปิดเผย แต่ก็จะพยายามพูดถึงอย่างสั่น เป็นความหมายแฝง หรือฟังดูไม่ได้ใจความมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นอกจากนี้พวกเขาจะระวังไม่ให้มีคนรู้ข้อมูลด้านหนึ่ง ๆเกี่ยวกับตัวเขามากกว่าหนึ่งคน เช่น เพื่อนคนหนึ่งอาจรู้ว่าเขาเป็นคนชอบกลับบ้านดึก แต่เพื่อนคนอื่นไม่รู้ ในขณะที่อีก คนรู้ว่าเขาหลงใหลเรื่องราวเกี่ยวกับแมลง ไม่รู้ว่าเขาชอบกลับบ้านดึก "ไทป์ห้า" จะคอยระวังไม่ให้ทั้งสองคนนี้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ ไม่มีใครได้ภาพรวมทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเขาไป อย่างไรก็ดีมันเป็นสิ่งยากที่จะระวังเมื่อเพื่อนมีจำนวนมากขึ้น ทำให้ "ไทป์ห้า" ในระดับนี้ต้องทำชีวิตให้ง่าย ไม่ซับซ้อนเกินไป ความจำเป็นนี้ขยายผลออกไปสู่เรื่องอื่น ๆของชีวิตด้วย กล่าวคือ "ไทป์ห้า" ในระดับนี้มีอาการ ละความต้องการพื้นฐานทั้งปวง พวกเขาเริ่มไม่ใส่ใจกิจวัตรประจำวัน มองหางานที่ใช้ความสามารถน้อยกว่าที่ตนมีอยู่ เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาตัวเขาไปรับผิดชอบมาก เอาเวลาไปเตรียมการวางแผนชีวิตมากกว่าที่จะเอาไปใช้ชีวิตจริง ๆ พวกเขาอยู่กับชัยชนะเล็ก ๆน้อยที่เกิดขึ้นจากการใช้สมองของพวกเขามากกว่า

การที่เริ่มสนใจสิ่งที่อยู่ในสมอง และการใช้จินตนาการมากกว่า การสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างละเอียดกลายเป็นสาเหตุของปัญหาสำหรับ "ไทป์ห้า" พวกเขาเริ่มใจลอย และเลิกเป็นคนช่างสังเกต พวกเขาให้ความสำคัญกับกระบวนการคิดมากกว่าการรับข้อมูล แต่ยิ่งทุ่มเทเวลาไปกับการใช้ความคิดขนาดไหน พวกเขายิ่งรู้สึกว่าสรุปอะไรไม่ได้เลยมากเท่านั้น ยิ่งช่างบันทึก ยิ่งใช้ภาษาซับซ้อนเข้าใจยากขึ้นทุกที พวกเขาไม่สามารถบันทึกความคิดออกมาได้ เพราะยิ่งคิดยิ่งไม่มีข้อสรุป

พวกเขาเปิดใจให้กับความน่าจะเป็นทุกทีกรณี และให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริงน้อยลงทุกที พวกเขาเลิกที่จะมาหาความสัมพันธ์ระหว่างความคิดกับความจริง หันมาสนใจความคิดอย่างเดียว ทำให้หลุดออกจากโลกของความเป็นจริง การคิดอะไรที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆทำให้พวกเขาเริ่มมีปัญหาในการแสดงความคิดเห็น มีความคิดร้อยแปดพันเก้าพวยพุ่งออกมาจากสมองของพวกเขาตลอด โดยที่แต่ละเรื่องก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย การใช้สมองจัดการกับสิ่งเหล่านี้ทำให้สมองของเขาทำงานหนัก และล้ามาก นอกจากนี้ "ไทป์ห้า" ยังมักสำคัญผิดว่า ความคิดต่าง ๆที่ตนกำลังสนใจ คนรอบข้างก็สนใจไม่แพ้ตัวเขาอยู่เหมือนกัน

"ไทป์ห้า" เริ่มกลายเป็นวิญญาณอย่างเดียวมากกว่า วิญญาณในร่างกาย เพราะใช้ความคิดตลอดเวลา ลืมกิน ลืมนอน ลืมอาบน้ำ มักดูเป็นศาสตราจารย์สติเฟื้อง ที่ลืมติดกระดุมทุกเม็ด สมองของพวกเขาถูกสร้างมาเพื่อการใช้งานหนักกว่าไทป์อื่น ๆ (Nine ก็ชอบใช้ความคิดแต่ผลที่ได้ต่างกับ "ไทป์ห้า" กล่าวคือการใช้ความคิดทำให้ Nine กลายเป็นคนที่ดูสงบ แต่ "ไทป์ห้า" ดูตื่นเต้นและเข้มข้น) พวกเขาไม่อาจหยุดแรงขับดันใน id ที่พวยพุ่งออกมาจากจิตใต้สำนึกของพวกเขาได้ สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อทุกด้านของชีวิตของเขา ทำให้เป็นคนทำอะไรดูจริงจังไปหมด

พวกเขาสนใจในตัวคนอื่นอย่างมาก แต่ก็รู้สึกเคลือบแคลงคนรอบข้างด้วย พวกเขาพยายามหาว่าสิ่งใดบ้างที่กระตุ้นความสนใจคนรอบข้างเหล่านั้นบ้าง แต่ก็พยายามหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเกินไป เพื่อไม่ให้ต้องถูกเบียดเบียน หรือคาดหวังในสิ่งที่ตนทำไม่ได้ เรื่องอารมณ์ความรู้สึกเป็นเรื่องที่กระตุ้นจิตใจของ "ไทป์ห้า" ได้ง่ายมาก และ "ไทป์ห้า" ส่วนใหญ่แล้วมักมีแรงขับทางเพศสูง ทำให้พวกเขาหลงใหลผู้คน และความสัมพันธ์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ประมาทกับสิ่งเหล่านี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้ "ไทป์ห้า" ในระดับนี้โดยทั่วไปจะครองโสด หรือไม่ก็ต้องมีความสัมพันธ์แบบลุ่ม ๆดอน ๆ ความผูกผันใกล้ชิดเร้าอารมณ์พวกเขาอย่างมาก และทำให้พวกเขาตัดขาดจากคนอื่นมากขึ้น และยิ่งทำให้รู้สึกช่วยอะไรตัวเองไม่ได้ มองโลกด้วยความเคลือบแคลง มองโลกแง่ร้าย และคิดว่าธรรมชาติมีเจตนาร้ายต่อมนุษย์มากกว่าที่จะดี

ระดับหก "คนขวางโลก"

ความซับซ้อนในจิตใจของ "ไทป์ห้า" สร้างความสับสน และวิตกกังวลให้กับพวกเขา ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเลยที่ชัดเจนและแน่นอน พวกเขาสิ้นหวังกับการใช้ความคิดทั้งหลายของตน และกลัวว่าสักวันคนอื่นต้องคาดคั้นให้ตนเลิกเอาแต่คิด ในขณะที่ตนยังไม่พร้อมจะเลิก ความกลัวนี้จะทำให้พวกเขาป้องกันตัวอย่างก้าวร้าว ต่อสิ่งที่ตนคิดว่าคุกคามการสร้างความสามารถพิเศษของตน คำพูดจา การแต่งกาย และสิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจ ล้วนแสดงออกราวกับจะพูดว่า "อย่ามายุ่งกับฉัน" ใครที่ไม่รู้ตาม้าตาเรือ อาจถูก "ไทป์ห้า" ในระดับนี้ไล่ตะเพิดไปได้ง่าย ๆ

ดูผิวเผินแล้ว "ไทป์ห้า" ในระดับนี้ดูเป็นคนทนงตนว่ามีปัญญา แท้จริงแล้วกลับไม่มั่นใจในความคิดของตนเอง บางทีโครงการต่าง ๆที่พวกเขาคิดจะทำดูเป็นสิ่งที่ไร้ค่าในสายตาของเขาเอง พวกเขาจะปกป้องความเห็นของตนเองอย่างรุนแรงสลับกับ การเกิดความรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งไร้ค่า พวกเขาเริ่มมองอะไรสุดโต่ง และแปลกมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับความคิดเหล่านั้นขึ้นมาใหม่

ทั้งที่ไม่มั่นใจในจุดยืนของตัว พวกเขาพยายามแสดงออกว่ามั่นใจ และพยายามนำมันมาใช้ แต่ความกลัวและความรู้สึกไร้สามารถในจิตไร้สำนึก จะทำให้พวกเขายังรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าทุกสิ่งในโลกนี้ช่างยากเย็น และโกรธที่คนอื่นกลับมองสิ่งเดียวกันว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ พวกเขาเริ่มพูดทำลายความมั่นใจคนอื่น ด้วยการแสดงความเห็นในแง่ร้ายของตน เช่น "นายคิดจะไปเที่ยวชายหาดเหรอ ฉันเพื่ออ่านผลงานวิจัยล่าสุดเมื่อเช้านี้เอง เขาบอกว่าโอกาสที่จะไปเที่ยวทะเลแล้วเป็นมะเร็งมีสูงถึงเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้ว" สิ่งที่ "ไทป์ห้า" อาจบอกอาจเป็นข้อเท็จจริง แต่จุดมุ่งหมายของพวกเขาไม่ใช่การเสนอข้อเท็จจริง มันเป็นการทำลายความมั่นใจของคนอื่นมากกว่า นิสัยที่ชอบแสวงหาความรู้ทำให้ "ไทป์ห้า" มีข้อมูลมากมายเป็นเครื่องมือ

"ไทป์ห้า" ทำตัวหัวรุนแรง ต่อต้านแบบแผนประเพณีที่คนทั่วไปยอมรับ พวกเขาชอบอะไรใหม่ ๆเพื่อที่จะได้ใช้ความคิดอย่างไร้ขอบเขต ความคิดที่ขวางโลกของ "ไทป์ห้า" ทำให้คนอื่นทนไม่ได้ที่จะต้องโต้เถียง หรือแม้แต่กลายเป็นศัตรูกัน พวกเขาเป็นศัตรูกับกฏเกณฑ์ ความคาดหวังต่าง ๆของสังคม พวกเขาจะใช้ชีวิตแบบแปลกเพื่อแสดงออกถึงจุดยืนเหล่านี้ และหลีกเลี่ยงชีวิตจำเจแบบคนส่วนใหญ่ อย่างการทำงานประจำ หรือการมีครอบครัว อาจแต่งตัวแปลกเพื่อยั่วยุสังคม หรือแสดงการไว้ทุกข์ การประท้วงในบางกรณีเป็นสิ่งที่สร้างสรร แต่การประท้วงของ "ไทป์ห้า" ในระดับนี้เป็นเพียงเพื่อจะบอกว่า ชีวิตเป็นเรื่องไร้สาระ ผู้คนช่างโง่เขลา ชีวิตฉันไร้ค่า แนวคิดแบบนี้เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวัฒนธรรม " Alternatives " ขึ้นในปลายศตวรรษนี้ อย่าง แนวดนตรี Grunge, Cyberpunk, Heavy metal ฯลฯ

ในระดับนี้ แม้ว่าจะเป็นคนชอบใข้ความคิด มองหาแต่ความเป็นไปได้ แต่พวกเขาก็มักชอบมองความเป็นจริงด้วย เพียงแต่มองมันอย่างเป็นจริงมากเกินพอดี พวกเขาอาจมองภาพวาดว่าเป็นแค่สี มองมนุษย์ว่าเป็นแค่เครื่องจักรทางชีวภาพ มองดอกไม้สวย ๆที่กำลังบานว่าเป็นแค่กระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง พวกเขาใช้ความคิดอันลึกซึ้งและมีหลักมีเกณฑ์ของตนผสมผสานกับ การแปลความอย่างสุดโต่งโดยไม่รู้ตัว

ความคิดแปลกประหลาดเหล่านี้ ทำให้ "ไทป์ห้า" ในระดับนี้ดูเหมือนคนเสียสติ แม้ว่าจะยังไม่ใช่ คนเราอาจมีความคิดที่แปลกได้ แต่คนไทป์อื่นจะไม่ใช้เวลากับมันมาก เพื่อพยายามพิสูจน์มันอย่าง "ไทป์ห้า" ในระดับนี้ ความคิดสุดโต่งเป็นสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นสัญลักษณ์ในการสร้างตัวตน ดังนั้นพวกเขาจะปกป้องมันอย่างดีที่สุด และขู่ที่จะฟ้องร้องใครที่คิดจะขโมยความคิดของพวกเขาไป

พวกเขาฉลาดเกินไปที่จะพูดอะไรออกมาได้ เพราะปัญหาของเขาคือการไม่รู้ว่าความคิดไหนดีกว่าความคิดไหน ทุกความคิดดูไร้สาระเท่า ๆกันหมด จนไม่มีประเด็นใดน่าสนใจ พวกเขาอาจชอบการโต้เถียง เพื่อตอกย้ำว่าตัวฉลาด แต่ในเวลาเดียวกัน มันเป็นเสมอการตอกย้ำว่าสิ่งที่ตนกำลังคิดนั้นไร้สาระ ไร้ประโยชน์

พวกเขาอาจดูเป็นคนทุ่มเท แต่ถ้าดูดี ๆ แล้วสิ่งที่เขาทำจริง ๆไม่ค่อยได้ประโยชน์ พวกเขาอาจใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือเกี่ยวกับมด การทำฐานข้อมูลที่ละเอียดยิบในคอมพิวเตอร์ อ่านเทคนิคการเล่นหมากรุก สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ "ไทป์ห้า" ก้าวไปสู่จุดที่ดีขึ้น แต่กลับเบียดบังเวลาต้องใช้ไปกับการทำสิ่งที่จำเป็นกว่าในชีวิต พวกเขาอาจครอบครองโลก มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือรอดชีวิตจากสงครามนิวเคลียร์ได้ในจินตนาการ แต่เรื่องอย่างการไปสัมภาษณ์งาน หรือการหัดขับรถกลับทำไม่ได้

ปัญหาสำหรับ "ไทป์ห้า" ในระดับนี้คือ ความรู้สึกไร้สามารถที่หลอกหลอนตนเองอยู่ ทำให้การอยู่ท่ามกลางสังคมเป็นเรื่องยาก หากพวกเขาไม่เข้าใจจุดนี้ ความวิตกกังวลและความกลัวจะยิ่งดันเขาออกจากสังคมมากขึ้นทุกที และจะยิ่งยากที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ พวกเขาจะโดดเดี่ยวและจมลงสู่ความมืดที่น่าสะพรึงกลัวมากกว่าเดิม

ระดับเจ็ด "

ความต้องการที่จะเป็นเอกเทศ เพื่อจะได้สร้างเสริมทักษะให้กับตัวเองทำให้ "ไทป์ห้า" เริ่มเป็นศัตรูกับใครก็ตามที่มายุ่งย่ามกับชีวิต ซ้ำร้ายเมื่อ "ไทป์ห้า" เข้าสู่ระดับเสื่อม พวกเขาจะมองว่าทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นตัวยุ่ง และเห็นว่าทางเดียวที่จะทำให้ตนรู้สึกปลอดภัยก็คือ การเลิกติดต่อกับคนอื่น พวกเขาปรับตัวได้ยาก และมองโลกด้วยความน่ารังเกียจ

พวกเขารู้สึกว่า ยังไงเสียก็ไม่มีที่ไหนในสังคมที่เหมาะกับตน จึงแยกตัว และกลายเป็นเหยื่อของความรู้สึกสิ้นหวัง และเบี่ยงเบน พวกเขาจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เมื่อความคิดของพวกเขาได้รับการดูหมิ่น เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาฝาก ความนับถือตัวเอง ที่เหลือน้อยเต็มที่ของพวกเขาไว้ พวกเขาจะประนามคนเหล่านั้นกลับ และทำให้คนเหล่านั้นปฏิเสธพวกเขา ซึ่งยิ่งทำให้ "ไทป์ห้า" ไม่มีสังคม หมดทางที่จะมีความสัมพันธ์กับใครได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเหมือนอยากที่จะคัดค้านสิ่งที่คนอื่นศรัทธา และมีความสุขเมื่อได้วิจารณ์สิ่งที่ดี ๆในโลกนี้ พวกเขาพยายามบอกว่า ความสัมพันธ์ของคนสองคนที่บริสุทธิ์นั้นไม่มี และชอบเปิดโปงความเน่าเหม็นของสันดานมนุษย์ พวกเขาดูถูกวิธีการที่คนบางคนใช้ในการสร้างความสุขให้กับชีวิตแบบภาพลวงตา และบอกว่าตนโชคดีที่ไม่ตกเป็นเหยื่อ เพราะเป็นผู้มีปัญญา

สิ่งที่พวกเขาบอกอย่างจะจริง บางคนสร้างความสุขแบบจอมปลอมให้กับตัวเอง แต่บางคนก็ไม่ การมองโลกในแง่ลบอย่างเดียวไม่ใช่สิ่งที่ดี "ไทป์ห้า" ไม่เชื่อใน ความหวัง ศรัทธา ความรัก ความเมตตา หรือมิตรภาพ เพราะเขากลัวการมีความสัมพันธ์กับคน นั้นเป็นเหตุให้ "ไทป์ห้า" ในระดับนี้แยกตัว และต่อต้านความสัมพันธ์ หรือนามธรรมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างคน ความรู้สึกเหล่านี้รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ อาจทำให้ "ไทป์ห้า" เลิกทำงานหาเงิน ละทิ้งโภคภัณฑ์ทั้งหลายยกเว้นสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพึ่งพาใครในโลกนี้ อันจะนำมาสู่การยุ่มย่ามชีวิตพวกเขาของคนรอบข้าง เลิกใช้รถยนต์ เลิกอยู่ตึก ไม่ใส่ใจในสารรูปตัวเอง กินถูก ๆ ไม่อาบน้ำ ติดเหล้า เริ่มคิดว่าไม่ผิดอะไรที่จะใช้ยาเสพติด ชอบลองยาใหม่ ๆ ยาแรง ๆ (นิสัยชอบทดลองมีอยู่ในตัวอย่างเต็มที่อยู่แล้ว) เจตนาใช้ยาที่แรงถึงตายอย่างเฮโรอีน ยาเสพติดทำให้ชีวิตของพวกเขายิ่งต้องโดดเดี่ยวมากขึ้นไปอีกระดับ และเร่งให้ทำร้ายตัวเองมากขึ้นไปอีก

พวกเขาสร้างเส้นเขตแดนส่วนตัว ด้วยการทำหน้าตาหยามเหยียดพฤติกรรมคนอื่น เขียนด่าพฤติกรรมคนอื่น นิ่งเฉยแบบเกลียดชัง ทั้งหมดนี้ได้ผล เพราะคนอื่นจะผละจากชีวิตของเขาโดยง่าย ซึ่งพวกเขาก็ต้องการ ถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาจะไม่ตรวจสอบความคิดของตนจากคนอื่นอีกต่อไป ทำให้ความคิดเริ่มบิดเบือนมากขึ้น

สำหรับไทป์อื่นในระดับเสื่อมอย่างนี้ พวกเขาปิกปิดอาการได้ดี แต่สำหรับ "ไทป์ห้า" กลับตรงกันข้าม ทุกคนจะสังเวช และสยดสยองกับพฤติกรรมที่พวกเขาแสดงออกมา แต่การยื่นมือเข้าช่วยเหลือนั้นเป็นไปได้ยาก ความจริงที่ว่า พวกเขา ต้องการการบำบัด นั้นทิ่มแทงใจพวกเขาอย่างมาก พวกเขาจะหาเหตุผลให้กับความคิดผิด ๆของตนเองได้ดีเสมอ ๆ และไม่มีทางคิดจะกลับไปอยู่อย่างคนทั่วไป

ในระดับ พวกเขามีแต่ความขัดแย้งภายในใจ พวกเขาอาจจะยังเก่ง มีพรสวรรค์อยู่ แต่กลัวที่จะทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา จึงไม่ได้ใช้สิ่งทีมีอยู่เลย พวกเขามีความก้าวร้าวต่อสังคมสูง แต่ไม่กล้าแสดงออกมา เพราะกลัวการที่จะต้องมีปากเสียงกับคนอื่น

ระดับแปด "ตัวประหลาด"

การแยกตัวทำให้ "ไทป์ห้า" สูญเสียความมั่นใจในการอยู่ท่ามกลางสังคม กลายเป็นคนที่กลัวสังคมอย่างไม่มีเหตุผล พวกเขาละกิจกรรมต่าง ๆลงเสียจนไม่เหลืออะไรให้ละอีกแล้วในระดับนี้ อาจถึงขั้นอยู่แต่ในห้องคนเดียว ซ่อนตัวอยู่ชั้นใต้ดินบ้านเพื่อน การมองโลกของพวกเขาผิดไปจากความเป็นจริง พวกเขาคิดว่าโลกนี้มีแต่สิ่งน่าสะพรึงกลัว เพราะความกลัวในจิตใจที่คอยบิดเบือนความคิด ทุกสิ่งทุกอย่างดูยากไปหมด จนไม่ทำอะไรเลย คิดว่าเพดานอาจหล่นลงมาใส่ ทีวีอาจทำให้เกิดมะเร็ง เก้าอี้อาจกลืนพวกเขาเข้าไป มีอาการจิตหลอน ได้ยินเสียงหรือเห็นภาพประหลาด มองเห็นร่างกายของตัวเองว่าประหลาด ไม่ใช่ตัวเอง นอนไม่หลับ ตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา หยุดคิดไม่ได้ ตลอดจนเหนื่อยโดยไม่รู้สาเหตุ

"ไทป์ห้า" ทั่วไปอาจนอนไม่ค่อยหลับ แต่ในระดับนี้ พวกเขาไม่นอนเลย พวกเขากลัวว่าจะมีใครมาทำอันตรายขณะหลับ และยังกลัวฝันร้ายอีก ทำให้มีแนวโน้มที่จะพึ่งยาเสพติด เพื่อกดประสาท การนอนไม่หลับทำให้สมองใช้ความคิดอย่างหนัก และเป็นสาเหตุของการเห็นภาพหลอน อารมณ์แปรปรวน ที่แย่กว่านั้น ดูเหมือนว่า "ไทป์ห้า" ในระดับนี้ควบคุมการคิดของตนไม่ได้ เหมือนกับว่าความคิดของตนเป็นบุคคลอีกคนหนึ่ง ที่ควบคุมไม่ได้ แต่กลับย้อนตน ความกลัวที่ตนสร้างขึ้นกำลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

ความคิดของพวกเขาเริ่มไม่มีเหตุผล เช่นอาจคิดว่าพฤติกรรมของนก ใช้ทำนายทิศทางทางการเมืองได้ ในหัวคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาแต่ล้วนแล้วแต่ไม่สร้างสรร และยิ่งทำให้รู้สึกกลัว แต่ก็หยุดไม่ได้ พวกเขาไม่ยอมรับความช่วยเหลือใด ๆ จากใคร เพราะนั้นคือการตอกย้ำถึงความไร้สมรรถภาพของตัว

ระดับเก้า "คนหลุดโลก"

ในระดับนี้ "ไทป์ห้า" ยังคงอาศัยการแยกตัวที่เคยใช้เป็นทางสยบความกลัวอยู่แต่ไม่ได้ผลอะไรอีกต่อไป ความกลัวทำให้ "ไทป์ห้า" รู้สึกว่าไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยสำหรับตนหลงเหลืออยู่ แม้แต่ในใจ และตนก็ไม่มีความสามารถที่จะปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยได้อีกแล้ว มีทางออกเหลืออยู่เพียงสองทาง หนึ่งคือฆ่าตัวตาย ("ไทป์สี่" ในระดับนี้ก็คิดฆ่าตัวตาย แต่เพราะเกลียดตัวเอง และเคียดแค้นคนที่ทำให้ตนต้องเจ็บอยู่ในใจ แต่ "ไทป์ห้า" ฆ่าตัวตายเพื่อหนีชีวิตที่ไร้ค่าและน่าสะพรึงกลัว "ไทป์ห้าปนสี่" และ "ไทป์สี่" with "ไทป์ห้า"-wing จะรู้สึกทั้งสองอย่าง) ในเมื่อทุกอย่างไม่น่าพิศมัย ก็จำต้องตัดขาดจากทุกสิ่ง

หากไม่ฆ่าตัวตาย พวกเขาจะเลือกอีกทางหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาเรื่องความวิตกจริตที่มากเกินไป วิธีนั้นก็คือ การแบ่งสติสัมปัชชญะของตนออกเป็นสองส่วน และเอาตัวเข้าอยู่ในส่วนที่ตนรู้สึกปลอดภัย หรือก็คือการแยกตัวออกจากตัวเอง อย่างพ่อที่พยายามลืมการตายของลูกที่ตนรัก ด้วยการตัดขาดจากทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับลูก ทำชีวิตให้มีแต่ความว่างเปล่า และเริ่มมีการของคนหลุดโลก หรือ Schizophrenia ซึ่งเกิดจากความเครียดจากการแยกตัวจากสังคม และอาการอ่อนล้าทางกายที่เป็นผลมาจากการใช้ความคิดฟุ้งซ่านมากเกินไป ส่งผลให้สารเคมีในสมองเสียความสมดุล "ไทป์ห้า" เป็นไทป์ที่เสี่ยงต่อการเป็น Schizophernia มากที่สุด (มีการตั้งสมมติฐานว่า ยีนที่ทำให้คนเป็น Schizophernia กับยีนที่ทำให้คนมีบุคลิกเป็น "ไทป์ห้า" อาจเป็นยีนตัวเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ยังคงทำการวิจัยเรื่องนี้อยู่) บางเวลา "ไทป์ห้า" ระดับนี้ก็เป็นแค่ "ไทป์ห้า" ที่มีสุขภาพจิตในระดับเสื่อม เมื่อถึงจุดที่ทนไม่ได้ในบางเวลา ก็กลายไปเป็น Schizophernia กลับไปมา

ในระดับนี้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการใช้สติปัญญาที่มีอย่างสิ้นเชิง แยกตัวจากสังคม จากตัวเอง และจากความคิดของตัวเอง พวกเขาไม่คิด ไม่รู้สึก และไม่ทำอะไรอีกต่อไป การที่พวกเขาแยกตัวจากสังคมไปตั้งหลัก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัว ได้ทำให้พวกเขาสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปอย่างสมบูรณ์ในที่สุด กลายเป็นคนที่หมดทางช่วยเหลือ ไร้สามารถ พึ่งตัวเองไม่ได้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พวกเขากลัวมากทีสุด พวกเขาไม่มีใครเหลืออีกแล้ว ่ทั้งนี้ก็เพราะการแยกตัวของตนแท้ ๆ

พัฒนาการ

"ไทป์ห้า" ไปสู่ "ไทป์เจ็ด"

เริ่มจากระดับ สี่ "ไทป์ห้า" ในสภาวะกดดันเริ่มมีนิสัยของ "ไทป์เจ็ด" ให้เราได้เห็น พวกเขาหลีกหนีผู้คน และการกระทำที่กลัวว่าจะทำไม่ได้ เริ่มสนใจอะไรในทางลึกและแคบมากขึ้น นิสัยของ "ไทป์เจ็ด" ที่รนราน ไม่อยู่กับที่เพราะความวิตกกังวลเริ่มเผยออกมา ในระดับสี่ "ไทป์ห้า" แสวงหาความรู้อย่างไม่ลดละ อาการของ "ไทป์เจ็ด" ทำให้พวกเขาแสวงหาความรู้หลายเรื่อง จากด้านหนึ่งก็เปลี่ยนไปอีกด้วยหนึ่ง หาสิ่งที่ชอบจริง ๆไม่ได้สักที การหาความรู้หลายด้านอย่างไม่หยุดยั้งไม่เคยทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจแต่อย่างใด

ในระดับห้า "ไทป์ห้า" หมกมุ่นกับโครงการส่วนตัว และอยู่กับการใช้ความคิดมากกว่าอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเกิดความวิตกกังวล พวกเขาเริ่มหมกมุ่นกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ เช่นการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ ภาพยนตร์ นิยายวิทยาศาสตร์ สยองขวัญ ฯลฯ บางทีก็ปล่อยใจ มีมุขตลกที่หลุดโลกออกมาให้คนรอบข้างประหลาดใจ เมื่อเครียด พวกเขาอาจพัฒนารสนิยมในการเที่ยวกลางคืนขึ้น พวกเขาชอบสำรวจภัตตาคาร บาร์ หรือไนท์คลับ อย่างลับ ๆโดยที่ไม่มีใครรู้

ในระดับหก พวกเขาหวาดวิตกมากขึ้น และเริ่มมีอาการสิ้นหวังกับการไคว่คว้าหาความชำนาญพิเศษให้กับตัวเอง เริ่มปกป้องความคิดของตัวอย่างรุนแรง ความบ้าของ "ไทป์เจ็ด" สร้างความคิดขวางโลกให้พวกเขามากขึ้น บางคนอาจมาว่าพวกเขาดูมันส์ ๆดีในระดับนี้ แต่หลายคนก็จะเริ่มออกห่าง พวกเขาเริ่มพึ่งยาเสพติดเพื่อระงับความวิตกกังวล ยอมทุ่มให้กับอะไรก็ตามที่ลดความกลัวและความวิตกกังวลให้ตนได้ แม้จะต้องใข้เงินมากและไม่ถาวรก็ตาม

ในระดับเจ็ด "ไทป์ห้า" แยกตัวจากโลกภายนอก และเริ่มมองโลกในแง่ร้าย อาการของ "ไทป์เจ็ด" ทำให้พวกเขาปลดปล่อยความกลัวออกมาในรูปแบบของพฤติกรรมปลดปล่อยสารพัดรูปแบบ เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่รับผิดชอบต่อความบ้าที่ตนทำลงไป การตัดสินใจผิดพลาดและไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิง อาจทำตัวเป็นเด็กปัญญาอ่อน เมื่อถูกผู้อื่นตำหนิในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

ในระดับแปด อาการบ้าๆ บอ ๆและความไม่รับผิดชอบเกิดขึ้น พวกเขาทำอะไรโดยไม่สนใจอันตรายที่จะเกิด อาจเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุโง่ ๆ พวกเขาเริ่มซึมเศร้าแต่วิปลาส พฤติกรรมเบี่ยงเบน และเป็นฮิสทีเรีย เอาแน่เอานอนไม่ได้

ในระดับเก้า พวกเขาหมดทางหนีความกลัว ไม่มั่นใจที่จะดำรงชีวิตต่อไป อาจทำอันตรายตนเองและคนรอบข้าง เพราะคิดว่าตนเองถึงทางตันแล้ว ไม่อาจหลีกหนีอันตรายไปได้ การฆ่าตัวตาย ทำร้ายร่างกายตัวเอง หรือการฆ่าคนอื่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้

"ไทป์ห้า" ไปสู่ "ไทป์แปด"

"ไทป์ห้า" คิดเสมอว่าตนยังรู้ไม่พอที่จะลงมือ พวกเขาจะรู้สึกปลอดภัยเมื่อรู้จักโลกมากพอ ในขณะที่กลับไม่รู้จักใจตัวเอง ในทางจิตวิเคราะห์ "ไทป์ห้า" คือผู้ที่มี id ที่เข้มแข็งกว่า ego ความก้าวร้าวและแรงขับภายในใจมีอิทธิพลเหนือจิตใจของพวกเขาอยู่เสมอ

ปัญหาเหล่านี้ไม่เกิดกับ "ไทป์ห้า" ในระดับดี เพราะพวกเขาไม่ได้รับรู้โลกด้วยการคิดอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนรับรู้เข้ามาด้วย จึงเลิกกลัวสิ่งรอบตัวและเรียนรู้ที่จะไว้ใจมัน ความมั่นใจในตัวเองจึงก่อตัวขึ้น เนื่องจากมีพฤติกรรมแบบ "ไทป์แปด"

เมื่อ "ไทป์ห้า" เข้าสู่ "ไทป์แปด" พวกเขารู้สึกว่า แม้ตัวจะยังรู้น้อย แต่มันก็มากกว่าใคร ๆเกือบทั้งหมด และยังตระหนักด้วยว่า คนเราไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกอย่างก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ พวกเขาทำไปเรียนรู้ไป แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทาง จะรู้ก็ต่อเมื่อจำเป็นต้องรู้ ความรู้จะไม่ได้มาจากการสะสมความรู้ หรือท่องจำเรื่องต่าง ๆแต่เกิดจากการที่ได้สัมผัสกับโลกภายนอก พวกเขาไม่อยู่โดดเดี่ยวในโลกอย่างไร้ความหมาย แต่มีพลังอำนาจ และเป็นส่วนหนึ่งของมัน

พวกเขาลงมือทำด้วยความมั่นใจว่าตนรู้จริง และนำคนอื่นได้ แม้ว่าจะไม่รู้หมดทุกอย่าง ความรู้ของพวกเขาได้รับการตรวจสอบอยู่เสมอจากการลงมือปฏิบัติอย่างไม่เกรงกลัว ในที่สุดพวกเขาก็พบว่าตัวเองนี้ก็มีค่าต่อคนอื่น ความคิดที่มีค่าของพวกเขาได้รับการประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมขึ้นมา

ไทป์ย่อย

"ไทป์ห้าปนสี่" "ผู้ตะลึงโลก"

ลักษณะของ "ไทป์ห้า" และ "ไทป์สี่" ส่งเสริมกันหลายอย่าง ทั้งสองเป็นพวกใจลอย พวกเขาอยู่ในโลกของจินตนาการเพื่อปกป้องอัตตาของตัว และสร้างตัวตน พวกเขารู้สึกว่าตนต้องบรรลุอะไรสักอย่างให้ได้ก่อนที่จะเผชิญหน้ากับโลกภายนอก "ไทป์ห้า" ขาดความมั่นใจในการปฏิบัติ "ไทป์สี่" ขาดเอกลักษณ์ที่ตัวเองแน่ใจ "ไทป์ห้าปนสี่" จึงเข้าสังคมยาก ใช้อารมณ์และหันเข้าหาตัวเองมากกว่า "ไทป์ห้าปนหก" ความเป็น "ไทป์สี่" ทำให้พวกเขาสนใจเรื่องเกี่ยวกับจิตของมนุษย์ และมีทักษะเชิงศิลป์ เมื่อรวมกับ ความเจ้าปัญญาของ "ไทป์ห้า" จึงกลายเป็นไทป์ที่ลึกซึ้งที่สุดทั้งศาสตร์และศิลป์

ตัวอย่างได้แก่ Albert Einstein, Werner Heisenburg(นักฟิสิกส์), Friedrich Nietzsche(ปราชญ์เยอรมัน), Georgia O'Keeffe, John Cage, John Lennon, k. d. Lang(นักร้อง), Laurie Anderson, James Joyce, Emily Larson, Stephen King(นักเขียนนิยายสยองขวัญ), Tim Burton(ผู้กำกับภาพยนตร์), Clive Barker, Franz Kafka(นักเขียน), Umberto Eco, Jean-Paul Sartre, Oriana Fallaci, Glenn Gould, Peter Serkin(นักเปียโน), Hannah Arendt(นักปรัชญาการเมือ่ง), Kurt Cobain(นักร้อง) และ Vincent van Gogh

ในระดับดี พวกเขาใช้ ความรู้ผสมผสานกับสัญชาตญาณ ความอ่อนไหวผสานกับความเข้าใจ ศิลปะผสานกับความคิด พวกเขามักเป็น นักเขียน ผู้กำกับภาพยนตร์ ดีไซเนอร์ นักดนตรี นักแต่งเพลง ผู้ออกแบบท่าเต้น ฯลฯ พวกเขามักดูไม่เหมือน "ไทป์ห้า" นัก เพราะไม่ได้มีลักษณะของนักวิชาการเต็มตัว และมักใช้จินตนาการอย่าง "ไทป์สี่" มากกว่าการใช้เหตุผล หรือปัญญาเป็นหลักอย่าง "ไทป์ห้าปนหก" ถ้าพวกเขามีอาชีพในทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาจะสนใจเรื่องที่ต้องใช้ความเข้าใจภาพรวม หรือสัญชาตญาณ มากกว่าการทดลองหรือการเก็บข้อมูล พวกเขามองหาความงามในสมการคณิตศาสตร์ ความสามารถในการใช้ญาณพิเศษ เป็นจุดเด่นของพวกเขาในระดับนี้ มันช่วยให้พวกเขาค้นพบความรู้ใหม่ ๆที่ไม่มีใครคิดมาก่อน ความเป็น "ไทป์สี่" สร้างความปรารถนาให้แก่พวกเขาที่จะสร้างวิสัยทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นอกเหนือจากความอยากรู้อยากเห็นที่มีในตัวของ "ไทป์ห้า" ผลก็คือการง่วนอยู่กับรูปแบบที่คุ้นเคยจนสามารถมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เคยเห็นมาก่อนได้ พวกเขาจึงอาจสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆกับโลกในแนวทางที่ตนสนใจได้

ในระดับปานกลาง "ไทป์ห้าปนสี่" เริ่มใช้อารมณ์ความรู้สึกมากขึ้น ทำให้ยากที่ทำงานร่วมกับคนอื่นได้เป็นเวลานาน ๆพวกเขาเกลียดการถูกตีกรอบพฤติกรรม พวกเขาไม่อยู่กับปัจจุบัน เพราะชอบใช้ความคิด และเพราะหมกหมุ่นอยู่กับตัวเอง ชอบหันเข้าหาตัวเอง พวกเขาเป็นคนที่อ่อนไหวต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ผลงานหรือความคิดของตนอย่างมาก เพราะมันกระทบกระเทือนความเป็นตัวตนของพวกเขาโดยตรง "ไทป์สี่" ระดับปานกลางเป็นคนโรแมนติก แต่เมื่อผสมผสานกับความเป็น "ไทป์ห้า" พวกเขาจะออกไปทาง ช่างฝัน และคิดอะไรเหนือจริง อาจทำอะไรไม่ค่อยมีประโยชน์ในทางปฏิบัติ เช่น อ่านหนังสือตลอดเวลา เล่นแต่เกมส์ฝึกสมอง เป็นนักตอบปัญหาความรู้รอบตัว เป็นต้น พวกเขามักชอบเรื่องลึกลับ ดำมืด วิตกกังวลกับความเป็นไปได้ต่าง ๆในชีวิต และหาทางออกโดยการหาความสุขจากเรื่องเศร้า และเอาแต่ใจตัว จึงเสี่ยงต่อการใช้ยาเสพติด เหล้า และการปลดปล่อยทางเพศ

ในระดับเสื่อม พวกเขามีอาการซึมเศร้าโดยเจตนา แต่ก้าวร้าวเป็นระยะ ๆ มีความอิจฉาริษยาคนอื่นกอปรกับการตำหนิตัวเอง ความคิดที่ขัดแย้งในสมองทำให้รู้สึกสิ้นหวัง และอารมณ์เศร้าที่เกิดขึ้นก็ทำให้ไม่สามารถใช้ความคิดได้ตลอดรอดฝั่ง พวกเขามองโลกในแง่ร้ายอย่างมาก หลีกหนีสังคม ติดยา และซึมเศร้าเรื้องรัง ตลอดจนมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตาย

.ไทป์ห้าปนหก "นักไขปัญหา"

พวกเขาดูเป็น "ไทป์ห้า" จริง ๆ เป็นผู้สนใจวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เป็นนักเคราะห์ และนักรวบรวมข้อมูล เก่งในการแก้ปัญหา และเข้าใจการทำงานของสิ่งต่าง ๆ นิสัยที่รวมกันของ "ไทป์ห้า" กับ "ไทป์หก" ได้สร้างปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นกันเอง และรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ในกับพวกเขาที่สุด ยากที่จะตีสนิทกับพวกเขา เป็นไทป์ที่ช่างคิดที่สุด และไม่ค่อยใช้อารมณ์ความรู้สึก พวกเขาไม่กล้าไว้ใจใคร ไม่เสี่ยงที่จะมีความสัมพันธ์ อย่างไรก็ดี ความเป็น "ไทป์ห้า" ขัดแย้งกับ "ไทป์หก" อยู่ภายในด้วย เพราะ "ไทป์ห้า" รู้สึกปลอดภัยเมื่อแยกตัว แต่ "ไทป์หก" รู้สึกปลอดภัยเมื่อได้ร่วมงานกับคนอื่น พวกเขาจึงมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดูแปลก ๆแต่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นสาระสำคัญสำหรับตัวเขา

ตัวอย่างได้แก่ Bill Gates, Stephen Hawking, Sigmund Freud, Simone Weil, Jacob Bronowski, Charles Darwin, Alfred Hitchcock, Edward O.Wilson, Karl Marx, James Watson, Ursula K. LeGuin, B. F. Skinner, Isaac Asimov, Howard Hughes, Doris Lessing, Cynthia Ozick, Bobby Fischer, Ezra Pound, Theodore Kaczynski

ในระดับดี พวกเขาหันเข้าหาคนอื่น และอยู่กับโลกภายนอกมากกว่า "ไทป์ห้าปนสี่" ไม่คิดมาก ชอบสังเกตและเข้าใจสิ่งรอบตัว เห็นโลกอย่างทะลุปรุโปร่ง เป็นการผสมผสานระหว่างการค้นหาความจริงของ "ไทป์ห้า" และการหาความแน่นอนของ "ไทป์หก" ผลก็คือ ความสามารถในการหาข้อสรุปที่ได้จากการรวบรวมข้อมูล ตลอดจนทำนายเหตุการณ์โดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ พวกเขามักชอบเรื่องเทคนิค วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ ปรัชญา รวมทั้งการประดิษฐ์และซ่อมแซมสิ่งของ ความเป็น "ไทป์หก" ช่วยพวกเขาในเรื่องการติดต่อกับคนอื่น ความมีวินัยและมุมานะต่องานที่ทำ หามีพรสวรรค์มากพอ พวกเขาเป็นผู้ที่จะสามารถเอาเรื่องทางเทคนิคมาประยุกต์ให้เกิดผลทางธุรกิจ เป็นผู้ที่มองวัตถุประสงค์มากกว่าบุคคล แม้ว่าโดยเนื้อแท้แล้วจะเป็นคนที่ให้ค่ากับบุคคลบางคนในชีวิตมาก อาจเป็นคนคิดมาก แต่ไม่แสดงความรู้สึกออกมา เป็นคนขี้เล่นอย่างใช้สติปัญญา มีอารมณ์ขัน และมีเสน่ห์หลายอย่าง ใครก็ตามที่พวกเขาไว้วางใจ จะพบตัวตนที่เป็นมิตรและผูกผันที่ซ่อนอยู่ของพวกเขา และนี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาอย่างให้คนอื่นมองตัวเขา แม้ว่าบางทีพวกเขาจะวางตัวในสังคมไม่เก่ง คนทั่วไปมักเห็นความกระตือรือร้นในการเข้าหาคนของพวกเขา แต่ไม่อาจช่วยอะไรได้

ในระดับปานกลาง ความสัมพันธ์ของพวกเขามักมีปัญหา แม้ว่าความเป็น "ไทป์หก" จะเพิ่มความสามารถในการจัดการและบุคลิกภาพที่น่าสนใจให้กับเขา แต่มันก็เสริมความกลัว และความวิตกกังวลให้พวกเขาด้วย พวกเขาไม่รู้จะจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตนอย่างไร โดยเฉพาะในเรื่องการแสดงออก พวกเขาไม่ค่อยใส่ใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ดูเป็นพวกสติเฟื่อง เข้าสังคมไม่เป็น อาจเป็นพวกที่ใจลอยอย่างมาก พวกเขามักทิ้งให้ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์คาราคาซัง โดยหาทางออกด้วยการหมกมุ่นกับตัวเองมากขึ้น ก้าวร้าวอย่างเงียบ ๆไม่ยอมจัดการกับปัญหาอย่างเด็ดขาด บางทีก็ดื้อร้นในเรื่องที่ไม่มีเหตุผล ยึดมั่นในจุดยืนของตัวเอง และไม่พอใจคนที่ไม่เห็นด้วยกับตน ในขณะที่ "ไทป์ห้าปนสี่" จะใช้การทำลายความแน่ใจของคนอื่น

ในระดับเสื่อม พวกเขาระแวงผู้คน มีปฏิกิริยาที่รุนแรงคลุ้มคลั่ง หวาดกลัวความผูกผันใกล้ชิด ปฏิเสธความช่วยเหลือจากผู้ที่ปรารถนาดี ทั้งที่จิตใต้สำนึกกลับต้องการ กลัวคน กลัวสถานที่ คิดไปเองว่ามีคนทำร้าย มีโอกาสเป็นบ้าได้

บทสรุป

โดยทั่วไปแล้ว "ไทป์ห้า" มีบุคลิกภาพที่มีความขัดแย้งหลายอย่าง การคิดกับการปฏิบัติ การหลงใหลสรรพสิ่งกับการหวาดกลัวความเป็นจริง การอยากเข้ากับคนและการปฏิเสธคน รวมทั้งความรักกับความเกลียด สิ่งเหล่านี้เกิดจากการที่ พวกเขาสองจิตสองใจกับพ่อแม่ตน โชคไม่ดีที่ "ไทป์ห้า" จดจ่ออยู่กับการป้องกันตัวจากอันตรายภายนอก มากเสียจนออกห่างจากสิ่งที่ดี ๆของโลกภายนอกด้วย ในที่สุดก็ขาดศรัทธาต่อสิ่งต่าง ๆและไม่สามารถมองหาเอกลักษณ์ให้กับตัวเองได้ สิ่งที่ "ไทป์ห้า" กลัวที่สุด คือการเป็นคนไร้สมรรถภาพ จึงหนีออกจากทุกสิ่ง และเข้าสู่โลกของความคิด ซึ่งทำให้ขาดความปลอดภัย และไม่มีพลังในการปกป้องตนให้ปลอดภัยเข้าจริง ๆ พวกเขาจะหลงโลกแห่งความคิดอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่มีทางหวนกลับในที่สุด

22 November 2005

Water & Coke

ถ้าท่านรู้เรื่องนี้ ท่านจะดื่มน้ำมากขึ้น เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย 75% มีงานวิจัยพบว่า
ในคน 100 คน ที่ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยให้คน 80 คนลดอาการปวดหลังปวดข้อลงได้
ดื่มน้ำวันละ 5 แก้วลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ได้ถึง 45 % มะเร็งเต้านมได้ 79% และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50%

ทีนี้มาลองรู้จักน้ำ “โค้ก” กันหน่อย แน่นอนโค้กรสชาดยอดเยี่ยม แต่ตำรวจทางหลวงจะบรรทุกโค้ก 2 แกลลอนในช่องท้ายรถเพื่อเวลามีรถชนกันสามารถเอา 'น้ำโค้ก' ล้างเลือดบนถนนได้เกลี้ยงเกลา

ถ้าเอา T-bone steak ใส่ในชามกะละมังที่มีน้ำโค้กเต็ม จะพบว่าจะถูกละลายไปหมดใน 2 วัน

รินโค้ก 1 กระป๋องลงในโถส้วมทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วชักโครก กรดซิตริกในโค้กจะล้างคราบสกปรกในโถส้วมได้สะอาด

ถ้าต้องการกัดสนิมที่กันชนชุมโครเมี่ยมของรถ ให้เอาที่ขัดที่ทำด้วย foil ชุบโค้กขัดสนิมจะออกหมด

ถ้าจะล้างทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ที่มีคราบกรดเกลือเกาะขาวๆ ให้เทน้ำโค้ก ฟองจะกัดคราบขาวออกได้หมด ถ้าจุดขวดติดแน่น งัดไม่ออก เอาผ้าชุบน้ำโค้กหุ้มไว้หลายๆนาที จะบิดจุดขวดออกได้โดยง่าย
ถ้าจะปิ้ง moist ham ให้เทโค้ก 1 กระป๋อง เทลงในกระทะห่อแฮมด้วยอะลูมิเนียมฟอล์ยแล้วปิ้ง 30 นาที ก่อนแฮมจะสุก แกะฟอล์ยออก ปล่อยให้น้ำเนื้อหยดลงไปผสมกับน้ำโค้กในกระทะ ท่านจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล

การล้างคราบไขมันจากเสื้อผ้า ให้ใช้น้ำโค้ก 1 กระป๋อง ผสมกับผงซักฟอกในปริมาณที่จะใส่ในเครื่องซักปล่อยให้ซักด้วยเครื่องตามปกติ โค้กจะช่วยกำจัดคราบไขมันได้สะอาดหมดจด

ท่านสามารถผสมโค้ก ลงในน้ำล้างกระจกรถยนต์ ฟอสฟอริคแอซิดในโค้ก จะช่วยทำความสะอาดกระจกได้ดี

น้ำโค้กมี pH 2.8 ถ้าตัดเล็บแช่ในน้ำโค้ก 4 วัน จะละลายหมด เวลาขนย้ายน้ำโค้กเข้มข้นเพื่อส่งตามโรงงานทั่วโลก ที่รถ truck จะต้องติดป้ายไว้ว่า “มีวัตถุที่มีกรดกัดกร่อนได้เป็นอันตราย”

บริษัทขายน้ำโค้ก ใช้น้ำโค้กทำความสะอาดเครื่องยนต์ของรถ truck มานานประมาณ 20 ปีแล้ว

ท่านยังอยากดื่ม โค้ก หรือดื่มน้ำกัน เลือกเอาเอง

แปลโดย ศ.กิตติคุณ นพ.เสก อักษรานุเคราะห์ Water & Coke

ถ้าท่านรู้เรื่องนี้ ท่านจะดื่มน้ำมากขึ้น เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย 75% มีงานวิจัยพบว่า
ในคน 100 คน ที่ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยให้คน 80 คนลดอาการปวดหลังปวดข้อลงได้
ดื่มน้ำวันละ 5 แก้วลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ได้ถึง 45 % มะเร็งเต้านมได้ 79% และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50%

ทีนี้มาลองรู้จักน้ำ “โค้ก” กันหน่อย แน่นอนโค้กรสชาดยอดเยี่ยม แต่ตำรวจทางหลวงจะบรรทุกโค้ก 2 แกลลอนในช่องท้ายรถเพื่อเวลามีรถชนกันสามารถเอา 'น้ำโค้ก' ล้างเลือดบนถนนได้เกลี้ยงเกลา

ถ้าเอา T-bone steak ใส่ในชามกะละมังที่มีน้ำโค้กเต็ม จะพบว่าจะถูกละลายไปหมดใน 2 วัน
รินโค้ก 1 กระป๋องลงในโถส้วมทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วชักโครก กรดซิตริกในโค้กจะล้างคราบสกปรกในโถส้วมได้สะอาด
ถ้าต้องการกัดสนิมที่กันชนชุมโครเมี่ยมของรถ ให้เอาที่ขัดที่ทำด้วย foil ชุบโค้กขัดสนิมจะออกหมด
ถ้าจะล้างทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ที่มีคราบกรดเกลือเกาะขาวๆ ให้เทน้ำโค้ก ฟองจะกัดคราบขาวออกได้หมด ถ้าจุดขวดติดแน่น งัดไม่ออก เอาผ้าชุบน้ำโค้กหุ้มไว้หลายๆนาที จะบิดจุดขวดออกได้โดยง่าย
ถ้าจะปิ้ง moist ham ให้เทโค้ก 1 กระป๋อง เทลงในกระทะห่อแฮมด้วยอะลูมิเนียมฟอล์ยแล้วปิ้ง 30 นาที ก่อนแฮมจะสุก แกะฟอล์ยออก ปล่อยให้น้ำเนื้อหยดลงไปผสมกับน้ำโค้กในกระทะ ท่านจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล
การล้างคราบไขมันจากเสื้อผ้า ให้ใช้น้ำโค้ก 1 กระป๋อง ผสมกับผงซักฟอกในปริมาณที่จะใส่ในเครื่องซักปล่อยให้ซักด้วยเครื่องตามปกติ โค้กจะช่วยกำจัดคราบไขมันได้สะอาดหมดจด
ท่านสามารถผสมโค้ก ลงในน้ำล้างกระจกรถยนต์ ฟอสฟอริคแอซิดในโค้ก จะช่วยทำความสะอาดกระจกได้ดี

น้ำโค้กมี pH 2.8 ถ้าตัดเล็บแช่ในน้ำโค้ก 4 วัน จะละลายหมด เวลาขนย้ายน้ำโค้กเข้มข้นเพื่อส่งตามโรงงานทั่วโลก ที่รถ truck จะต้องติดป้ายไว้ว่า “มีวัตถุที่มีกรดกัดกร่อนได้เป็นอันตราย”

บริษัทขายน้ำโค้ก ใช้น้ำโค้กทำความสะอาดเครื่องยนต์ของรถ truck มานานประมาณ 20 ปีแล้ว
ท่านยังอยากดื่ม โค้ก หรือดื่มน้ำกัน เลือกเอาเอง

แปลโดย ศ.กิตติคุณ นพ.เสก อักษรานุเคราะห์
หน่วยงาน : ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู วันที่ลงบทความ 21 เม.ย.45

17 November 2005

ธรรมะจาก STAR WARS

ธรรมะจาก STAR WARS


ยอมรับมาซะเถอะว่า เมื่อตอนเป็นเด็ก เรารู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่และท้าทายแค่ไหน ที่ได้เอาแท่งไม้มาทำเป็นดาบเรืองแสง
แล้วต่อสู้กับพี่น้องและเพื่อนๆ ถ้าคุณเคยรู้สึกแบบนั้นแล้วละก็ ไม่ต้องกังวล เพราะคุณไม่ได้รู้สึกเพียงคนเดียว การสวมเสื้อคลุม
และถืออาวุธของจอร์จ ลูคาส ผู้ทำหน้าที่พิทักษ์จักรวาลกลายเป็นฝันของผู้คนนับล้านที่ได้ชมและ ชื่นชอบมหากาพย์ภาพยนตร์
Star Wars ในไตรภาคแรก และอีกสองภาคที่ฉายไปแล้วคือ The Phantom Menace และ Attack of the clones

แมทธิว บอร์โทลิน สมาชิกของสมาคมชาวพุทธ ศิษย์ท่านติช นัท ฮันห์ ได้แสดงความคิดเห็นโดยผสมผสาน แนวคิด
ของวัฒนธรรมทาง pop เข้ากับ ความเชื่อทางศาสนาของเขาผ่านหนังสือธรรมะจาก Star Wars โดยบอร์โทลินได้เปิดประ
ตูสู่พระพุทธศาสนาโดยการกล่าวถึงความเชื่อของเขา สอดแทรกผ่านตัวละครและเหตุการณ์ต่างๆในภาพยนตร์ที่เป็นที่นิยมใน
ไตรภาคแรก รวมถึงอีกสองภาคต่อมาด้วย

เขากล่าวในบทนำของหนังสือว่า Star Wars ไม่ใช่แค่มหากาพย์แห่งการผจญภัยทางพระพุทธศาสนา แต่ยังมีเนื้อ
หาเกี่ยวกับคำสอนของ พระพุทธเจ้าอีกด้วย เขากล่าวต่อว่า เห็นได้ชัดว่า ผู้สร้างหนังเป็นพวก Warsie คือ ชอบเกี่ยวกับ
สงคราม และการสวมเสื้อคลุมของเจได ไม่ใช่แนวของหนังต่างประเทศ เขาพบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เน้น ไปตามหลักพระพุทธ
ศาสนาตามความคิดของบอร์โทลิน พระพุทธศาสนานั้นจะเป็นหน้าต่างที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจหนัง star war ได้ดีขึ้น หนังสือ
ธรรมะจาก Star Wars ดูเหมือนจะเป็นบทสรุปทางศาสนามากกว่าที่จะเป็นคู่มือการต่อสู้ต่ออำนาจร้าย



เขากล่าวอีกว่า ปัญญาคือผลแห่งการทำสมาธิ(เหมือนการไตร่ตรองอย่างสงบของโยดา), มีสติ(เหมือนความคิดของคุย
กอน) และความเพียรอุตสาหะ (เหมือนเจไดที่มีความรับผิดชอบสูงและมุ่งมั่น) จากคำสอนของปรมาจารย์เจได ท่านโยดา, จิน
คุยกอน และ เคโนบี โอบีวัน รวมทั้งเรื่องราวของ สกายวอคเคอร์ อนาคิน , อามีดาล่า แพดเม่ ลูค เลอา และ อาร์ทูดีทู เขาได้
อธิบายเรื่องของ กรรม สวรรค์ เหตุแห่งทุกข์ ปัญญาและสติ ซึ่งจะพบได้ในภาพยนตร์ Star Wars แต่บอร์โทลินจะเน้นไปที่
เรื่องของทุกข์ การเชื่อมโยงกับธรรมชาติที่ลึกซึ้งและความสำคัญของสมาธิซึ่งจะใกล้เคียงกับพระพุทธศาสนานิกายเซน มาก
กว่าจะเน้นไปที่เทคนิคการต่อสู้โดยดาบไลท์เซเบอร์ในโลกยุคการค้า

หนังสือเล่มนี้เป็นความเชื่อทางศาสนา และมีหลายคำพูดที่มาจากปัญญาของท่านโยดา หนังสือไม่ได้เน้นไปที่การต่อสู้
ของความเลวกับความดี จากคำพูดของโยดากับลูคตอนอยู่บนดาวดาโกบาห์ใน Star Wars ภาค The Empire Strikes
Back บอร์โทลินอธิบายว่าภาวะสงบสันโดษของเจไดคือ จะต้องควบคุมความรู้สึกเพื่อจัดการกับอารมณ์ให้ได้ แทนที่จะปฏิบัติ
ตัวเองไปในทางไม่ดีซึ่งอนาคินได้ทำหลังจากการสูญเสียมารดาของอนาคินที่ดาวทาทูอิน

ผู้ประพันธ์เน้นว่าเจไดจะต้องปรับความมีมนุษยธรรม เพื่อที่จะเข้าใจมนษย์และจากนั้นก็ละทิ้งอารมณ์ที่จะเป็นไปใน
ด้านมืดได้แก่ ความกลัว ความไม่พอใจ ความโกรธและความเกลียด ดูเหมือนว่าโยดาจะได้หลอมรวม เอาคำสอนของเซนและ
การฝึกฝนของเจไดเข้าด้วยกัน ซึ่งออกมาได้คล้ายคลึงกับศิลปะการฝึกสมาธิ ซึ่งสะท้อนวิถีแห่งชีวิตและบทบาทในจักรวาล
หลังจากอ่านหนังสือธรรมะจาก Star Wars แล้วยากที่จะแย้งถึงความคล้ายคลึงกันของพระพุทธศาสนากับภาพยนตร์ Star
Wars มีบางมุมของ star war ที่กล่าวได้ว่าตรงข้ามกับหลักของพระพุทธศาสนา นั่นคือการต่อสู้ และความรุนแรง ผู้สร้าง
หนังเน้นถึงสิ่งเหล่านี้ในภายหลังโดยเน้นไปที่ความเศร้าเสียใจ มากกว่าการแก้แค้น หรือความรุนแรงในการต่อสู้

อย่างไรก็ตาม บอร์โทลินควรก้าวอย่างระมัดระวังเมื่อกล่าวถึงแฟนฝั่งตรงข้ามของ Star Wars อีกกลุ่ม นั่นคือผู้ชื่น
ชอบ Star trek เขาได้กล่าวเชื่อมโยงถึงผู้ที่ชอบสงครามในเชิงที่เป็นมิตรเกินไป อาจจะทำให้ถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีต
Star Wars เป็นภาพยนตร์ที่อยู่ในใจและความทรงจำของเราเสมอ มันเป็นเรื่องที่เด็กคนนึงฝันว่าจะเป็นเจได มีคนแต่งตัว
เป็นทหารทุก ๆ ฮาโลวีน มันยิ่งไปกว่าคู่แข่งของแฟนๆ Star Wars นั่นคือพวก Trekkies ถ้าเรามองให้ดีเราจะเห็นสิ่งที่
พวกเรารักในตัวเด็กๆ , จากสิ่งโบร่ำโบราณ และแน่นอนพวก Klingon การต่อสู้ระหว่างลูคและ ดาร์ธ เวเดอร์ทำให้เกิดสปิริต
ขึ้นมากมายโดยกล่าวไว้ในหนังสือของบอร์โทลิน

ผู้ประพันธ์ใช้ภาพการต่อสู้ระหว่างความดีและ ความชั่วร้าย พ่อกับลูกชาย เพื่ออธิบายเกี่ยวกับหลาย ๆ เหตุจำเป็น
สำหรับเวเดอร์ในการก่อกบฏต่อจักรพรรดิพาลพาไทน์และก็ช่วยลูกชายของเค้า แม้ว่าเค้าจะได้พยายาม ฆ่าลูกของตัวก่อนหน้า
นั้นไม่ถึง 10 นาที เหตการณ์นี้ทำให้เห็นการเชื่อมโยงของจักรวาล ซึ่งทำให้เราสามารถมองได้เป็นองค์รวมในตอนท้ายของ
หนังสือบอร์โทลินมี "คู่มือพาดาวัน" เป็นคู่มือที่ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวเพื่อเป็นเจได ส่วนนี้จะแบ่งออกเป็นส่วนย่อย ๆ ที่
รวบรวม คำพูดของนักปราชญ์ คองฟูซิ หรือสารแห่งมนุษย์ในอนาคต หนึ่งในคำเหล่านั้น คือ "เจไดที่ยอดเยี่ยมที่สุดไม่ใช่เจได
ที่ชนะคู่ต่อสู่ได้นับพัน แต่เป็นเจไดที่สามารถเอาชนะตัวเองได้"
ผู้สร้างหนังไม่ได้มุ่ง ให้แต่เพียง ความบันเทิงเท่านั้นแต่ยังทิ้ง
ให้ผู้ชมต้องรอคอยเป็นเวลานานในการนำเสนอภาพยนตร์แต่ละภาค รวมทั้งภาคสุดท้ายที่จะมาถึง

เขาไม่ใช่คนเดียวที่มุ่งหา แนวคิดจินตนาการของผู้คนและความสำคัญของศีลธรรมจากตำนานมหากาพย์ยังมีหนังสือ
อีกเล่ม ปัญญาของชาวคริสต์จากปรมาจารย์เจไดดิ๊ค สต๊วบ ก็เพิ่งออกวางขาย แต่งโดย จอหน์ วิลลี่และลูกชาย นอกจากนี้ข่าว
ลือเกี่ยวกับคนในประเทศต่างๆ ได้แก่ ออสเตรเลียจำนวน 70509 คน อังกฤษจำนวน 390127 คน และนิวซีแลนด์ จำนวน
53715 คน ในปี 2001 นับถือลัทธิเจไดเป็นศาสนาของตน และหวังให้รัฐบาลออกกฎให้อัศวินเจได้เป็นศาสนาอย่างเป็นทาง
การ การรวมตัวนี้พบใน e-mail ที่กล่าวว่าคนนับหมื่นต้องการมีทางเลือกในศาสนาอื่น และให้ลัทธิเจไดเป็นหนึ่งในาทางเลือก
ที่ถูกตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตามอีเมล์นั้นพบว่าเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง สำหรับแฟน ๆ อาจจะเป็นเรื่องยาก ที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นจริงแต่
่ แม้ความวัยเยาว์จะน้อยลงทุกที แต่บางทีดาบไม้ไลท์เซเบอร์ อาจจะ ยังอยู่ในโรงจอดรถของเราก็เป็นได้

Reference : www.budpage.com

09 November 2005

MSSQL vs MySQL Test Query Update

Data 3,000,000 Records

update 1 Field integer current value + 1
Effect 500,000 Records

MSSQL 5 วินาที
MySQL 33-40 วินาที

MSSQL vs MySQL Test Query Select

Data 3,000,000 Record

select row to column (cube)

data 10 fields result 20 fields

Effect 5,000 Records

MSSQL 9 - 12 นาที
MySQL 40 วินาที